Sunday, November 27, 2005 |
วันนี้ได้ไปเห็นบทความของคุณสุทธิชัย หยุ่น ที่เขียนลง เนชั่น สุดสัปดาห์ ประจำวันที่ ๒๕ พ.ย. ๔๘ ชื่อบทความว่า "คนไทยควรได้รางวัล ความอดทนต่อความชั่วเป็นเลิศ" อ่านไปก็ตลกไป เปล่า! ไม่ใช่ตลกแบบขำๆ แต่เป็นตลกแบบเจ็บๆ ตลกแบบแสบๆ รู้สึกเหมือนกับว่า "นี่ตูโดนเขาแอบด่าใช่ไหมฟะ?"
ไม่ขอพูดยาว เพียงแต่อยากแนะนำให้คุณๆ ท่านๆ ไปลองอ่านกันดู ผมอยากรู้ว่าคุณรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า ไปอ่านกันได้ที่ http://www.nationweekend.com/2005/11/25/NW11_113.php
ขอตัดมาแปะไว้ส่วนหนึ่ง
/*
ผู้นำทหารออกมาบอกว่า จะหมดความอดทน และอาจ 'ต้องทำอะไรบางอย่าง' เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
คนไทยก็อดทน, ไม่ตอบโต้, ไม่ถือสา, ไม่โกรธเคือง และยังยอมให้ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป
จะหาประชาชนประเทศไหนมีความใจเย็นและนิ่งสงบเมื่อถูกขู่เข็ญกันตรงๆ เช่นนี้ เห็นจะยากอย่างยิ่ง
ยิ่งน่าสังเกตว่านายทหารคนนี้สามารถพูดว่าจะหมดความอดทนและอาจจะต้อง "ทำอะไรบางอย่าง" โดยไม่เฉลียวใจว่าเจ้าของประเทศเองเขาจะหมดความอดทนกับท่าทีอย่างนี้ ของนายทหารคนนี้บ้าง
เขาไม่กลัวหรือว่าถ้าคนไทยเองหมดความอดทนบ้าง และประกาศว่าจะต้อง "ทำอะไรบางอย่าง" กับผู้มีอำนาจในบ้านเมืองบ้าง จะเกิดอะไรขึ้น?
*/
ที่เลือกส่วนนี้มาแปะเพราะอ่านแล้วสะดุ้ง สะดุ้งแล้วก็ตะโกนในใจว่า "เฮ้ย! จริงว่ะ ตูทนได้ไงวะ? เอ้อ... สงสัยคงเพราะตูเป็นคนไทยตัวจริง"
ไม่ขอพูดยาว เพียงแต่อยากแนะนำให้คุณๆ ท่านๆ ไปลองอ่านกันดู ผมอยากรู้ว่าคุณรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า ไปอ่านกันได้ที่ http://www.nationweekend.com/2005/11/25/NW11_113.php
ขอตัดมาแปะไว้ส่วนหนึ่ง
/*
ผู้นำทหารออกมาบอกว่า จะหมดความอดทน และอาจ 'ต้องทำอะไรบางอย่าง' เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
คนไทยก็อดทน, ไม่ตอบโต้, ไม่ถือสา, ไม่โกรธเคือง และยังยอมให้ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป
จะหาประชาชนประเทศไหนมีความใจเย็นและนิ่งสงบเมื่อถูกขู่เข็ญกันตรงๆ เช่นนี้ เห็นจะยากอย่างยิ่ง
ยิ่งน่าสังเกตว่านายทหารคนนี้สามารถพูดว่าจะหมดความอดทนและอาจจะต้อง "ทำอะไรบางอย่าง" โดยไม่เฉลียวใจว่าเจ้าของประเทศเองเขาจะหมดความอดทนกับท่าทีอย่างนี้ ของนายทหารคนนี้บ้าง
เขาไม่กลัวหรือว่าถ้าคนไทยเองหมดความอดทนบ้าง และประกาศว่าจะต้อง "ทำอะไรบางอย่าง" กับผู้มีอำนาจในบ้านเมืองบ้าง จะเกิดอะไรขึ้น?
*/
ที่เลือกส่วนนี้มาแปะเพราะอ่านแล้วสะดุ้ง สะดุ้งแล้วก็ตะโกนในใจว่า "เฮ้ย! จริงว่ะ ตูทนได้ไงวะ? เอ้อ... สงสัยคงเพราะตูเป็นคนไทยตัวจริง"
Friday, November 18, 2005 |
ตอนนี้สถานการณ์มันวุ่นวายเพราะมันมีหลายเรื่อง เกี่ยวกันบ้าง
ไม่เกี่ยวกันบ้าง ถูกเอามายำรวมกันมั่วไปหมด
แล้วก็ถูกใส่ไข่ตามเข้าไปด้วยความรู้สึกส่วนตัว ประเด็นสำคัญๆ
ก็อาจจะเป็นสิ่งต่อไปนี้...
1. ประเด็นที่เกี่ยวกับนายกฯ และรัฐบาล
- การแปรรูป กฟผ.
- เสรีภาพของสื่อ
- ความเคารพในพระราชอำนาจ
2. ประเด็นที่เกี่ยวกับคุณสนธิ
- การกล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เหมาะสม
ไม่ว่าเราจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับประเด็นไหน
สิ่งสำคัญที่ต้องระวังก็คือ
อย่าเพิ่งเอาความรู้สึกในประเด็นหนึ่งมาเหมารวมไปเสียหมด
ว่าเราจะต้องรู้สึกไปในทางเดียวกันในประเด็นอื่นๆ ด้วย
การทำอย่างนั้นอาจทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์แต่ละเรื่องได้ด้วยใจยุติธรรม
และอาจนำมาซึ่งความรู้สึกที่นำไปสู่ความรุนแรง
สำหรับผมแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดขณะนี้คงเป็นประเด็น "เสรีภาพของสื่อ"
ที่ถูกคุกคามอย่างหนัก ทีมกฏหมายของนายกฯ ไล่ฟ้องนักข่าวอย่างสนุกสนาน
เป็นนัยว่าจะทำให้นักข่าวคนอื่นๆ เกรงกลัวตามไปด้วย
แต่อย่างไรนั่นก็ยังไม่จัดเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด
เพราะยังเป็นสิ่งที่ต้องผ่านกระบวนการของศาล (ซึ่งน่าจะยุติธรรม)
สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือการคุกคามโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม
อย่างเช่นการขอร้องให้กระทรวง ICT ปิดเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันว่า "ความมั่นคงของชาติ"
นี้ควรจะถูกนิยามอย่างไร
ความมั่นคงของพรรครัฐบาลนั้นเป็นเหตุผลที่จำเป็นหรือพอเพียงต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่?
การกล่าวพาดพิงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ในแง่มุมใด/มากน้อยเพียงใดจึงจะจัดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ?
สิ่งเหล่านี้ใครควรเป็นผู้ตัดสิน? ศาล? นายกรัฐมนตรี?
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ICT? หรือเจ้าหน้าที่ของบริษัท กสท.?
สื่อมวลชนก็เหมือนหูเหมือนตา เหมือนประสาทสัมผัสของประชาชน
หากประสาทสัมผัสนั้นขาดเสรีภาพแล้วประชาชนจะมีเสรีภาพได้อย่างไร
แน่นอนสื่อบางสื่ออาจมีจรรยาบรรณมาก/น้อย ต่างกัน
แต่นั่นควรเป็นเรื่องที่ปล่อยให้สื่อหรือประชาชนช่วยกันตัดสินกันเอง
ไม่ใช่ว่าควรถูกตัดสินด้วยผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงไม่กี่คน
กรณีของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล นั้นเป็นกรณีที่น่าสนใจ
เพราะคุณสนธิเองก็อาจจะมีความรู้สึกขัดแย้งส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรี
ในการนี้หลายคนมองว่าคุณสนธิได้ใช้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
ซึ่งเป็นสื่อที่อยู่ในมือตนเป็นเครื่องมือต่อสู้กับความขัดแย้งนี้
และยังได้กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่หลายครั้ง
บางครั้งก็น่าคิดว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่
ปัญหาก็คือว่า ใครควรเป็นผู้ตัดสินถึงความเหมาะสมในข้อนี้? ประชาชน?
สมาคมนักหนังสือพิมพ์? สื่อมวลชนทุกแขนง? ศาล? ฯลฯ ...
เราอาจถกเถียงกันถึงทางเลือกต่างๆ ได้มากมาย
แต่คำตอบไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทุกคนคงเห็นด้วยว่าในระบอบประชาธิปไตย
ผู้ที่จะใช้อำนาจระงับการแสดงความคิดเห็นของสื่อนั้นไม่ควรจะเป็นบุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว
โดยเฉพาะอย่างเมื่อบุคคลนั้นมีพละกำลังสูงส่งอย่างที่คนอื่นไม่มีทางสู้ได้
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมา มองเห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ The Nation ใจความว่า
"Supreme Commander Gen Ruengroj Mahasaranond gave a stern warning that
the armed forces will take action if Sondhi Limthongkul of Manager
Media Group did not stop involving monarchy in his criticism on the
premier."
ผมรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ไม่น้อยเลย
ไม่เกี่ยวกันบ้าง ถูกเอามายำรวมกันมั่วไปหมด
แล้วก็ถูกใส่ไข่ตามเข้าไปด้วยความรู้สึกส่วนตัว ประเด็นสำคัญๆ
ก็อาจจะเป็นสิ่งต่อไปนี้...
1. ประเด็นที่เกี่ยวกับนายกฯ และรัฐบาล
- การแปรรูป กฟผ.
- เสรีภาพของสื่อ
- ความเคารพในพระราชอำนาจ
2. ประเด็นที่เกี่ยวกับคุณสนธิ
- การกล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เหมาะสม
ไม่ว่าเราจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับประเด็นไหน
สิ่งสำคัญที่ต้องระวังก็คือ
อย่าเพิ่งเอาความรู้สึกในประเด็นหนึ่งมาเหมารวมไปเสียหมด
ว่าเราจะต้องรู้สึกไปในทางเดียวกันในประเด็นอื่นๆ ด้วย
การทำอย่างนั้นอาจทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์แต่ละเรื่องได้ด้วยใจยุติธรรม
และอาจนำมาซึ่งความรู้สึกที่นำไปสู่ความรุนแรง
สำหรับผมแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดขณะนี้คงเป็นประเด็น "เสรีภาพของสื่อ"
ที่ถูกคุกคามอย่างหนัก ทีมกฏหมายของนายกฯ ไล่ฟ้องนักข่าวอย่างสนุกสนาน
เป็นนัยว่าจะทำให้นักข่าวคนอื่นๆ เกรงกลัวตามไปด้วย
แต่อย่างไรนั่นก็ยังไม่จัดเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด
เพราะยังเป็นสิ่งที่ต้องผ่านกระบวนการของศาล (ซึ่งน่าจะยุติธรรม)
สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือการคุกคามโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม
อย่างเช่นการขอร้องให้กระทรวง ICT ปิดเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันว่า "ความมั่นคงของชาติ"
นี้ควรจะถูกนิยามอย่างไร
ความมั่นคงของพรรครัฐบาลนั้นเป็นเหตุผลที่จำเป็นหรือพอเพียงต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่?
การกล่าวพาดพิงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ในแง่มุมใด/มากน้อยเพียงใดจึงจะจัดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ?
สิ่งเหล่านี้ใครควรเป็นผู้ตัดสิน? ศาล? นายกรัฐมนตรี?
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ICT? หรือเจ้าหน้าที่ของบริษัท กสท.?
สื่อมวลชนก็เหมือนหูเหมือนตา เหมือนประสาทสัมผัสของประชาชน
หากประสาทสัมผัสนั้นขาดเสรีภาพแล้วประชาชนจะมีเสรีภาพได้อย่างไร
แน่นอนสื่อบางสื่ออาจมีจรรยาบรรณมาก/น้อย ต่างกัน
แต่นั่นควรเป็นเรื่องที่ปล่อยให้สื่อหรือประชาชนช่วยกันตัดสินกันเอง
ไม่ใช่ว่าควรถูกตัดสินด้วยผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงไม่กี่คน
กรณีของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล นั้นเป็นกรณีที่น่าสนใจ
เพราะคุณสนธิเองก็อาจจะมีความรู้สึกขัดแย้งส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรี
ในการนี้หลายคนมองว่าคุณสนธิได้ใช้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
ซึ่งเป็นสื่อที่อยู่ในมือตนเป็นเครื่องมือต่อสู้กับความขัดแย้งนี้
และยังได้กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่หลายครั้ง
บางครั้งก็น่าคิดว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่
ปัญหาก็คือว่า ใครควรเป็นผู้ตัดสินถึงความเหมาะสมในข้อนี้? ประชาชน?
สมาคมนักหนังสือพิมพ์? สื่อมวลชนทุกแขนง? ศาล? ฯลฯ ...
เราอาจถกเถียงกันถึงทางเลือกต่างๆ ได้มากมาย
แต่คำตอบไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทุกคนคงเห็นด้วยว่าในระบอบประชาธิปไตย
ผู้ที่จะใช้อำนาจระงับการแสดงความคิดเห็นของสื่อนั้นไม่ควรจะเป็นบุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว
โดยเฉพาะอย่างเมื่อบุคคลนั้นมีพละกำลังสูงส่งอย่างที่คนอื่นไม่มีทางสู้ได้
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมา มองเห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ The Nation ใจความว่า
"Supreme Commander Gen Ruengroj Mahasaranond gave a stern warning that
the armed forces will take action if Sondhi Limthongkul of Manager
Media Group did not stop involving monarchy in his criticism on the
premier."
ผมรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ไม่น้อยเลย
Thursday, November 17, 2005 |
เว็บบอร์ดของ เสธ. แดง
http://www.sae-dang.com/board.php
เสธ. แดง มีชื่อจริงว่า พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ท่านเป็นใคร ทำงานตำแหน่งไหน เคยเป็นข่าวอะไรมาบ้าง คิดว่าทุกคนคงจะ google เอาเองได้ และนั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจจะทำในขณะนี้
สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าคือเว็บบอร์ดของท่าน ซึ่งเปิดให้ผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็น/ถามคำถามกันอย่างเมามัน และลีลาการตอบคำถามของท่านก็มันส์หยดไม่แพ้คุณชูวิทย์
อยากให้ทุกคนลองเข้าไปดู โดยคลิกที่ลิงค์ด้านบน
สิ่งที่ประทับใจอย่างแรก ไม่ได้เกี่ยวกับความคิดเห็นของ เสธ. แดง เลย แต่อยู่ที่สไตล์การเขียนของท่าน ท่านเรียกตัวเองว่า "อาแดง" และเรียกคนอื่นๆ ที่มาแสดงความเห็นอย่างสุภาพว่า "หลานๆ" ... ส่วนคนที่มาป่วนบอร์ด โพสต์ข้อความชั่วร้าย ท่านได้กรุณาใช้คำที่ไพเราะยิ่ง: "มึง"
(ตัวอย่าง: http://www.sae-dang.com/cgi-bin2/dangBoard/OpenMessage.php?no=12181)
อีกอย่าง จะสังเกตได้ว่า เสธ. แดง เขียนตัวเลขเป็นเลขไทย นี่คงเป็นแบบธรรมเนียมทหารที่ท่านเคยชิน ซึ่งดูๆ แล้วเท่ดี ผมน่าจะเลียนแบบท่านบ้าง
และมาถึงกรณีความเห็นของท่านเรื่องคุณสนธิ เสธ. แดง มีจุดยืนที่น่าสนใจ เชิญอ่านเอาเองที่สองกระทู้นี้:
http://www.sae-dang.com/cgi-bin2/dangBoard/OpenMessage.php?no=12182
http://www.sae-dang.com/cgi-bin2/dangBoard/OpenMessage.php?no=12183
สรุปตามความเข้าใจของผมก็คือว่า เสธ. แดง ไม่ได้แสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับความคิดเห็นของคุณสนธิ แต่ เสธ.แดง มองว่าคุณสนธิกำลังถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐฝ่ายต่างๆ (ตำรวจ/ทหาร) จึงคิดว่าควรออกมาพูดอะไรบ้าง อย่างน้อยให้ประชาชนเข้าใจว่าความคิดเห็นของ พล.ต.พฤณท์ (ซึ่งต้องการให้คุณสนธิยุติการกล่าวพาดพิงถึงเบื้องสูง) นั้นเป็นความเห็นของทหารเพียงคนเดียว ไม่ใช่ว่าทหารทั้งหมดจะเห็นด้วย
ผมลองคลิกเข้าไปดูที่อีกหน้าหนึ่ง คือ http://sae-dang.com/webmaster/ ซึ่งเป็นหน้าที่เว็บมาสเตอร์ออกมาแถลงการณ์อะไรบางอย่าง ... อ่านดูแล้วทำให้ได้คิดถึงอีกแง่มุมหนึ่งในเรื่องของ "เสรีภาพ" และ "จรรยาบรรณ" ของสื่อมวลชน
ส่วนผมจะคิดอย่างไรนั้น เอาไว้วันหลังถ้าไม่ขี้เกียจจะเล่าให้ฟัง
:: พล.ต.พฤณท์ ::
http://www.sae-dang.com/board.php
เสธ. แดง มีชื่อจริงว่า พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ท่านเป็นใคร ทำงานตำแหน่งไหน เคยเป็นข่าวอะไรมาบ้าง คิดว่าทุกคนคงจะ google เอาเองได้ และนั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจจะทำในขณะนี้
สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าคือเว็บบอร์ดของท่าน ซึ่งเปิดให้ผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็น/ถามคำถามกันอย่างเมามัน และลีลาการตอบคำถามของท่านก็มันส์หยดไม่แพ้คุณชูวิทย์
อยากให้ทุกคนลองเข้าไปดู โดยคลิกที่ลิงค์ด้านบน
สิ่งที่ประทับใจอย่างแรก ไม่ได้เกี่ยวกับความคิดเห็นของ เสธ. แดง เลย แต่อยู่ที่สไตล์การเขียนของท่าน ท่านเรียกตัวเองว่า "อาแดง" และเรียกคนอื่นๆ ที่มาแสดงความเห็นอย่างสุภาพว่า "หลานๆ" ... ส่วนคนที่มาป่วนบอร์ด โพสต์ข้อความชั่วร้าย ท่านได้กรุณาใช้คำที่ไพเราะยิ่ง: "มึง"
(ตัวอย่าง: http://www.sae-dang.com/cgi-bin2/dangBoard/OpenMessage.php?no=12181)
อีกอย่าง จะสังเกตได้ว่า เสธ. แดง เขียนตัวเลขเป็นเลขไทย นี่คงเป็นแบบธรรมเนียมทหารที่ท่านเคยชิน ซึ่งดูๆ แล้วเท่ดี ผมน่าจะเลียนแบบท่านบ้าง
และมาถึงกรณีความเห็นของท่านเรื่องคุณสนธิ เสธ. แดง มีจุดยืนที่น่าสนใจ เชิญอ่านเอาเองที่สองกระทู้นี้:
http://www.sae-dang.com/cgi-bin2/dangBoard/OpenMessage.php?no=12182
http://www.sae-dang.com/cgi-bin2/dangBoard/OpenMessage.php?no=12183
สรุปตามความเข้าใจของผมก็คือว่า เสธ. แดง ไม่ได้แสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับความคิดเห็นของคุณสนธิ แต่ เสธ.แดง มองว่าคุณสนธิกำลังถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐฝ่ายต่างๆ (ตำรวจ/ทหาร) จึงคิดว่าควรออกมาพูดอะไรบ้าง อย่างน้อยให้ประชาชนเข้าใจว่าความคิดเห็นของ พล.ต.พฤณท์ (ซึ่งต้องการให้คุณสนธิยุติการกล่าวพาดพิงถึงเบื้องสูง) นั้นเป็นความเห็นของทหารเพียงคนเดียว ไม่ใช่ว่าทหารทั้งหมดจะเห็นด้วย
ผมลองคลิกเข้าไปดูที่อีกหน้าหนึ่ง คือ http://sae-dang.com/webmaster/ ซึ่งเป็นหน้าที่เว็บมาสเตอร์ออกมาแถลงการณ์อะไรบางอย่าง ... อ่านดูแล้วทำให้ได้คิดถึงอีกแง่มุมหนึ่งในเรื่องของ "เสรีภาพ" และ "จรรยาบรรณ" ของสื่อมวลชน
ส่วนผมจะคิดอย่างไรนั้น เอาไว้วันหลังถ้าไม่ขี้เกียจจะเล่าให้ฟัง
เมื่อวานนี้ผมได้รับโทรศัพท์จากคนหลายคน สอบถามถึงความเกี่ยวข้องและความคิดเห็นของผมต่อ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ซึ่งเป็นข่าวโด่งดังบนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เมื่อเร็วๆ นี้ บางคน(ที่รักคุณสนธิ)ถามเหมือนจะเชียร์ให้ตอบว่า "เปล่า! ตูไม่เกี่ยว ไอ้นี่ไม่ใช่ญาติตู" .. แต่บางคน(ที่ไม่รักคุณสนธิ)ก็ถามเหมือนจะเชียร์ให้ผมตอบอย่างภูมิใจว่า "ใช่แล้ว ญาติผมเอง ท่านเป็นนายทหารผู้มีอุดมการณ์ เป็นความภูมิใจของวงศ์ตระกูล"
ฮ่าๆๆ คนเรามักมีความลำเอียงในจิตใจกันทั้งนั้น พอเห็นคนที่เป็นญาติ หรือคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นญาติของตนออกมาแสดงความคิดเห็นอะไร เรามักจะคิดไปก่อนว่า "เอ้อ สิ่งที่เขาพูดอาจจะมีเหตุผลนะ"
แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็มีความเห็นแก่ตัว ถ้าลองมองดูรอบๆ ตัวแล้วพบว่าสถานการณ์จะไม่สู้ดีหากเราเข้าข้างความคิดเห็นของคนคนนี้ เนื่องจากประชาชน หรือคนรู้จักของเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเห็นด้วย เรามักจะพยายามคิดในแง่ใหม่ว่า "เอ้อ .. จริงๆ การที่นามสกุลเหมือนกันก็ใช่ว่าจะเป็นญาติกัน หรือแม้แต่จะรู้จักกันด้วยซ้ำไป ความคิดเห็นของเขางี่เง่า ใช่ว่าเราจะต้องงี่เง่าตามไปด้วย"
ในกรณีของ พล.ต.พฤณท์ นี้ เป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่างที่เกิดกับตัวผมเลย สิ่งที่ท่านทำไป บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่เห็นด้วย และหลายคนก็ถามผมว่า ผมเห็นด้วยหรือไม่?
เป็นคำถามที่ยากจะตอบ ... ผมจึงแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ นั่นก็คือ ฮ่าๆๆๆ ไม่ตอบ!
แต่ผมก็มาถามคำถามอีกคำถามหนึ่งกับตัวเอง .. พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต เกี่ยวข้องกับผมอย่างไร?
ผมพยายามหาคำตอบ ผมยังไม่ได้คำตอบ! ... จริงๆ แล้วผมยังไม่เคยได้ยินชื่อของท่านเลยด้วยซ้ำไป แต่ชื่อ "ทวนทอง สุวรรณทัต" บิดาของท่านนั้น ผมเคยได้ยินในวงสนทนาของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านอยู่บ้าง แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร
และเนื่องจากผมไม่ได้อยู่บ้านในขณะนี้ จึงยังหาโอกาสไปสอบถามท่าน "ผู้หลักผู้ใหญ่" เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้
ไม่เป็นไร ผมยังไม่จำเป็นต้องรู้
ในบัดดลสายตาของผมเหลือบไปเห็นหัวข้อข่าวอีกหนึ่งหัวข้อ: “เสธ.แดง” อัดแหลก “พล.ต.พฤณท์” รับใช้ทักษิณ
ผมเคยได้ยินชื่อ เสธ.แดง มานานแต่ไม่เคยสนใจ ตอนนี้ผมชักอยากรู้จัก เสธ.แดง ให้มากขึ้นเสียแล้ว
ฮ่าๆๆ คนเรามักมีความลำเอียงในจิตใจกันทั้งนั้น พอเห็นคนที่เป็นญาติ หรือคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นญาติของตนออกมาแสดงความคิดเห็นอะไร เรามักจะคิดไปก่อนว่า "เอ้อ สิ่งที่เขาพูดอาจจะมีเหตุผลนะ"
แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็มีความเห็นแก่ตัว ถ้าลองมองดูรอบๆ ตัวแล้วพบว่าสถานการณ์จะไม่สู้ดีหากเราเข้าข้างความคิดเห็นของคนคนนี้ เนื่องจากประชาชน หรือคนรู้จักของเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเห็นด้วย เรามักจะพยายามคิดในแง่ใหม่ว่า "เอ้อ .. จริงๆ การที่นามสกุลเหมือนกันก็ใช่ว่าจะเป็นญาติกัน หรือแม้แต่จะรู้จักกันด้วยซ้ำไป ความคิดเห็นของเขางี่เง่า ใช่ว่าเราจะต้องงี่เง่าตามไปด้วย"
ในกรณีของ พล.ต.พฤณท์ นี้ เป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่างที่เกิดกับตัวผมเลย สิ่งที่ท่านทำไป บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่เห็นด้วย และหลายคนก็ถามผมว่า ผมเห็นด้วยหรือไม่?
เป็นคำถามที่ยากจะตอบ ... ผมจึงแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ นั่นก็คือ ฮ่าๆๆๆ ไม่ตอบ!
แต่ผมก็มาถามคำถามอีกคำถามหนึ่งกับตัวเอง .. พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต เกี่ยวข้องกับผมอย่างไร?
ผมพยายามหาคำตอบ ผมยังไม่ได้คำตอบ! ... จริงๆ แล้วผมยังไม่เคยได้ยินชื่อของท่านเลยด้วยซ้ำไป แต่ชื่อ "ทวนทอง สุวรรณทัต" บิดาของท่านนั้น ผมเคยได้ยินในวงสนทนาของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านอยู่บ้าง แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร
และเนื่องจากผมไม่ได้อยู่บ้านในขณะนี้ จึงยังหาโอกาสไปสอบถามท่าน "ผู้หลักผู้ใหญ่" เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้
ไม่เป็นไร ผมยังไม่จำเป็นต้องรู้
ในบัดดลสายตาของผมเหลือบไปเห็นหัวข้อข่าวอีกหนึ่งหัวข้อ: “เสธ.แดง” อัดแหลก “พล.ต.พฤณท์” รับใช้ทักษิณ
ผมเคยได้ยินชื่อ เสธ.แดง มานานแต่ไม่เคยสนใจ ตอนนี้ผมชักอยากรู้จัก เสธ.แดง ให้มากขึ้นเสียแล้ว
Sunday, November 13, 2005 |
เช้าเมื่อวานนี้ผมยืนรอรถเมล์สาย 71A อยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมง มองดูนาฬิกาพบว่าเหลือเวลาอีก 40 นาทีก็จะถึงเวลาสอบ GRE วิชา Computer Science แล้ว ผมตัดสินใจยืนรอต่ออีก 10 นาที
และแล้วรถเมล์คันหนึ่งก็แล่นมา แต่เปล่า! มันไม่ใช่สาย 71A แต่มันคือสาย 81B ซึ่งไปคนละทางกับที่ที่ผมต้องการจะไป
ตายหละ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมมีทางเลือกอยู่สองทาง คือ
1) เสี่ยงรอ ซึ่งถ้ารถเมล์มาภายใน 15 นาทีนี้ผมก็จะไปทัน หรือ
2) เดิน+วิ่ง ให้ถึง University of Pittsburgh ภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งอยู่ในวิสัยที่พอทำได้ .. แต่.. กว่าจะไปถึงผมคงหมดแรงพอดี
และแล้ว เหมือนสวรรค์โปรด/เหมือนพระเจ้าช่วย/เหมือนอานิสงส์จากบุญเก่ามาปรากฎผล/เหมือนผีประจำตนคอยคุ้มครอง ฯลฯ ผมก็เห็นแท็กซี่สีเหลืองคันหนึ่งแล่นผ่านมาพอดี ผมไม่ทันโบก แต่บังเอิญแท็กซี่คันนั้นเข้าไปจอดเติมน้ำมันที่ปั๊ม Get Go ใกล้ๆ ป้ายรถเมล์พอดี
ขืนรอรถเมล์ต่อไปอาจต้องไปสายและหมดสิทธิ์สอบ ขืนวิ่งไปอาจจะไปนั่งหอบแฮ่กๆ ในห้องสอบ ในที่สุดผมจึงตัดสินใจวิ่งตามแท็กซี่ไปที่ปั๊มน้ำมัน และขอให้เขาพาไปส่งที่ศูนย์สอบ ค่าแท็กซี่อย่างมากคงไม่เกิน $10 ยังไงก็คุ้มสำหรับการสอบคราวนี้ที่ผมต้องเสียเงินไปแล้วถึง $130 (โอ .. พระเจ้า)
คนขับเป็นชายผิวดำวัยกลางคน หน้าตาโหดๆ เล็กน้อย พอรถแล่นออกไปได้ไม่นานเขาก็เริ่มบทสนทนา:
"คุณเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?"
คนที่ถามแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า และห้าสิบในร้อยเป็นคนที่จะพยายามทำให้เราเชื่อในพระเจ้าเช่นเดียวกัน
เขาคงจะรู้สึกดีกว่า ถ้าผมตอบไปว่า "ใช่ ผมเชื่อ" .. และเพื่อตัดปัญหาบางทีผมอาจจะควรตอบไปเช่นนั้น
แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้า(ถ้ามีจริง)คงไม่ชอบคนโกหก ผมจึงต้องตอบตามตรงว่า "ไม่ครับ ผมเป็นชาวพุทธ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า"
และอย่างที่ผมคาด เขาไม่ค่อยพอใจกับคำตอบเท่าไรนัก เขาบอกว่าเขาเป็นชาวคริสต์ เขาเชื่อมั่นในพระเจ้า พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา สร้างเขาขึ้นมา พระเจ้าทำให้ชีวิตเขามีความสุขอยู่ได้ พระเจ้าให้แท็กซี่เขามาขับจนถึงทุกวันนี้
สุดท้ายเขาบอกผมว่า "คุณบอกว่าคุณกำลังจะไปสอบ แต่รถเมล์ที่คุณรอไม่ยอมมาซะทีใช่ไหม? ... ผมถามคุณหน่อย: คุณคิดว่าทำไมผมถึงได้มาเติมน้ำมันที่นี่ ในเวลานี้พอดิบพอดี?"
ผมนิ่ง ... ไม่ได้ตอบ (เขาคงไม่ต้องการคำตอบจากผมอยู่ดี)
แล้วเขาก็ตอบให้เสร็จสรรพ: "พระเจ้าไงคุณ พระเจ้าสั่งให้ผมมาเติมน้ำมันที่ปั๊มนี้ ณ เวลานี้พอดี เพราะพระองค์รู้ว่าคุณกำลังจะไปสอบสาย และพระองค์ทรงมีพระเมตตากับคุณ"
รถแล่นมาถึงที่หมายพอดี ผมจ่ายค่าโดยสาร+ทิป ไป $8 กล่าวขอบคุณเขา แล้วเปิดประตูลงจากรถ
ในใจผมคิด "ถ้าพระเจ้าเมตตาตูจริงๆ ทำไมไม่ส่งรถเมลล์สาย 71A มารับตูวะ? จะได้ไม่ต้องจ่าย $8"
สุดท้ายหลังสอบเสร็จ ผมเล่าให้ฮิมและฆนัทฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จึงได้แนวคิดใหม่มาว่า สิ่งที่คนขับแท็กซี่พูดนั้นน่าคิดทีเดียว
ถึงแม้จะไม่จริงที่พระเจ้าเมตตาผม แต่เป็นความจริงเลยที่พระเจ้ามีจริง และนี่คือเหตุผล: คนขับแท็กซี่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจึงเมตตาเขา บันดาลให้รถเมล์สาย 71A แล่นช้ากว่าปกติ และบันดาลให้เขามาเติมน้ำมันในปั๊มใกล้ๆ ผมพอดี เขาจะได้ได้ผมเป็นลูกค้าตั้งแต่เช้า
ส่วนผม เพราะไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าเลยลงโทษให้รอรถเมล์ท่ามกลางอากาศหนาว และให้ต้องจ่าย $8 เป็นค่าโดยสารแท็กซี่ (ซึ่งนั่งไปเพียงห้านาทีก็ถึงที่หมาย)
พูดคุยกับฆนัทและฮิมไป พวกเราก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถกลับบ้าน ยังพูดเรื่อง "พระเจ้าลงโทษ" ไม่ทันจะจบ ก็ได้พบกับการลงโทษอีกครั้งหนึ่งจากพระเจ้า
รถสาย 71A เพิ่งแล่นผ่านหน้าเราไป เรามาสายไปเพียงห้าวินาที
และแล้วรถเมล์คันหนึ่งก็แล่นมา แต่เปล่า! มันไม่ใช่สาย 71A แต่มันคือสาย 81B ซึ่งไปคนละทางกับที่ที่ผมต้องการจะไป
ตายหละ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมมีทางเลือกอยู่สองทาง คือ
1) เสี่ยงรอ ซึ่งถ้ารถเมล์มาภายใน 15 นาทีนี้ผมก็จะไปทัน หรือ
2) เดิน+วิ่ง ให้ถึง University of Pittsburgh ภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งอยู่ในวิสัยที่พอทำได้ .. แต่.. กว่าจะไปถึงผมคงหมดแรงพอดี
และแล้ว เหมือนสวรรค์โปรด/เหมือนพระเจ้าช่วย/เหมือนอานิสงส์จากบุญเก่ามาปรากฎผล/เหมือนผีประจำตนคอยคุ้มครอง ฯลฯ ผมก็เห็นแท็กซี่สีเหลืองคันหนึ่งแล่นผ่านมาพอดี ผมไม่ทันโบก แต่บังเอิญแท็กซี่คันนั้นเข้าไปจอดเติมน้ำมันที่ปั๊ม Get Go ใกล้ๆ ป้ายรถเมล์พอดี
ขืนรอรถเมล์ต่อไปอาจต้องไปสายและหมดสิทธิ์สอบ ขืนวิ่งไปอาจจะไปนั่งหอบแฮ่กๆ ในห้องสอบ ในที่สุดผมจึงตัดสินใจวิ่งตามแท็กซี่ไปที่ปั๊มน้ำมัน และขอให้เขาพาไปส่งที่ศูนย์สอบ ค่าแท็กซี่อย่างมากคงไม่เกิน $10 ยังไงก็คุ้มสำหรับการสอบคราวนี้ที่ผมต้องเสียเงินไปแล้วถึง $130 (โอ .. พระเจ้า)
คนขับเป็นชายผิวดำวัยกลางคน หน้าตาโหดๆ เล็กน้อย พอรถแล่นออกไปได้ไม่นานเขาก็เริ่มบทสนทนา:
"คุณเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?"
คนที่ถามแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า และห้าสิบในร้อยเป็นคนที่จะพยายามทำให้เราเชื่อในพระเจ้าเช่นเดียวกัน
เขาคงจะรู้สึกดีกว่า ถ้าผมตอบไปว่า "ใช่ ผมเชื่อ" .. และเพื่อตัดปัญหาบางทีผมอาจจะควรตอบไปเช่นนั้น
แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้า(ถ้ามีจริง)คงไม่ชอบคนโกหก ผมจึงต้องตอบตามตรงว่า "ไม่ครับ ผมเป็นชาวพุทธ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า"
และอย่างที่ผมคาด เขาไม่ค่อยพอใจกับคำตอบเท่าไรนัก เขาบอกว่าเขาเป็นชาวคริสต์ เขาเชื่อมั่นในพระเจ้า พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา สร้างเขาขึ้นมา พระเจ้าทำให้ชีวิตเขามีความสุขอยู่ได้ พระเจ้าให้แท็กซี่เขามาขับจนถึงทุกวันนี้
สุดท้ายเขาบอกผมว่า "คุณบอกว่าคุณกำลังจะไปสอบ แต่รถเมล์ที่คุณรอไม่ยอมมาซะทีใช่ไหม? ... ผมถามคุณหน่อย: คุณคิดว่าทำไมผมถึงได้มาเติมน้ำมันที่นี่ ในเวลานี้พอดิบพอดี?"
ผมนิ่ง ... ไม่ได้ตอบ (เขาคงไม่ต้องการคำตอบจากผมอยู่ดี)
แล้วเขาก็ตอบให้เสร็จสรรพ: "พระเจ้าไงคุณ พระเจ้าสั่งให้ผมมาเติมน้ำมันที่ปั๊มนี้ ณ เวลานี้พอดี เพราะพระองค์รู้ว่าคุณกำลังจะไปสอบสาย และพระองค์ทรงมีพระเมตตากับคุณ"
รถแล่นมาถึงที่หมายพอดี ผมจ่ายค่าโดยสาร+ทิป ไป $8 กล่าวขอบคุณเขา แล้วเปิดประตูลงจากรถ
ในใจผมคิด "ถ้าพระเจ้าเมตตาตูจริงๆ ทำไมไม่ส่งรถเมลล์สาย 71A มารับตูวะ? จะได้ไม่ต้องจ่าย $8"
สุดท้ายหลังสอบเสร็จ ผมเล่าให้ฮิมและฆนัทฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จึงได้แนวคิดใหม่มาว่า สิ่งที่คนขับแท็กซี่พูดนั้นน่าคิดทีเดียว
ถึงแม้จะไม่จริงที่พระเจ้าเมตตาผม แต่เป็นความจริงเลยที่พระเจ้ามีจริง และนี่คือเหตุผล: คนขับแท็กซี่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจึงเมตตาเขา บันดาลให้รถเมล์สาย 71A แล่นช้ากว่าปกติ และบันดาลให้เขามาเติมน้ำมันในปั๊มใกล้ๆ ผมพอดี เขาจะได้ได้ผมเป็นลูกค้าตั้งแต่เช้า
ส่วนผม เพราะไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าเลยลงโทษให้รอรถเมล์ท่ามกลางอากาศหนาว และให้ต้องจ่าย $8 เป็นค่าโดยสารแท็กซี่ (ซึ่งนั่งไปเพียงห้านาทีก็ถึงที่หมาย)
พูดคุยกับฆนัทและฮิมไป พวกเราก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถกลับบ้าน ยังพูดเรื่อง "พระเจ้าลงโทษ" ไม่ทันจะจบ ก็ได้พบกับการลงโทษอีกครั้งหนึ่งจากพระเจ้า
รถสาย 71A เพิ่งแล่นผ่านหน้าเราไป เรามาสายไปเพียงห้าวินาที
Wednesday, November 02, 2005 |
เมื่อวานนี้ผมได้มีโอกาสเข้าไป "สนทนา" กับคุณวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนคนโปรดของผมเป็นครั้งแรก ผมถามเขาไปว่า...
หลังอานบุรี v.2
เมื่อ: 2005-11-02 17:42:02
คุณวินทร์คิดจะเขียน หลังอานบุรี เล่ม 2 บ้างไหมครับ? ผมว่าปัจจุบันการเมืองไทยดูจะเปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนที่เคยน้ำเน่าเสียเหลือเกิน เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นน้ำเน่ายิ่งกว่าเก่า ผมว่าหมู่สุนัขในหนังสือของคุณวินทร์คงใจจดใจจ่อที่จะออกมาแสดงละครล้อเลียนอีกสักเรื่องแล้วกระมังครับ
อ้อ .. เรื่องสุนัขซื้อเสียงโดยใช้เงินส่วนตัวนี่ ขอบอกว่าล้าสมัยแล้วนะครับ เดี๋ยวนี้เค้าใช้งบประมาณแผ่นดินกันแล้วครับผม ทำโครงการกระดูกเอื้ออาทร แจกกันเข้าไป ทำโครงการกองกระดูกหมู่บ้าน แจกกันเข้าไป ทำโครงการ "หญ้าสามต้นรักษาทุกโรค" แจกกันเข้าไป .. และล่าสุด มีการประกาศขู่ด้วยว่า "เราก็ต้องดูแลสุนัขทั้งประเทศ แต่เนื่องจากว่ากระดูกมันจำกัด เอากระดูกไปให้จังหวัดที่ไว้วางใจเราเป็นพิเศษก่อน จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อย ก็ไปทีหลัง"
คุณวินทร์คิดว่าอย่างไรครับ?
วันนี้คุณวินทร์ตอบมาแล้ว ตอบได้น่ารักมาก .. (แนวเดียวกับที่ตัวละครใน "หลังอานบุรี" สนทนากันเลย)
ตอบเมื่อ: 2005-11-02 21:09:59
หลังอานบุรี 2 ? ล้อเล่นน่า ตอนนี้บ้านเมืองเราน่าอยู่จะตายไป ทุกคนมีเงินใช้ เศรษฐกิจขยายตัว เงินสะพัด เทำงานน้อยชั่วโมง ไม่งั้นผู้คนจะมีเวลาเอสเอ็มเอสคุยกันทั้งวันหรือ รัฐมนตรีน่ารัก ข้าราชการน่ารัก ใครๆ ก็แฮปปี้ คุณไม่แฮปปี้หรือ?
:: คำพูดท่านนายกฯ ::
หลังอานบุรี v.2
เมื่อ: 2005-11-02 17:42:02
คุณวินทร์คิดจะเขียน หลังอานบุรี เล่ม 2 บ้างไหมครับ? ผมว่าปัจจุบันการเมืองไทยดูจะเปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนที่เคยน้ำเน่าเสียเหลือเกิน เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นน้ำเน่ายิ่งกว่าเก่า ผมว่าหมู่สุนัขในหนังสือของคุณวินทร์คงใจจดใจจ่อที่จะออกมาแสดงละครล้อเลียนอีกสักเรื่องแล้วกระมังครับ
อ้อ .. เรื่องสุนัขซื้อเสียงโดยใช้เงินส่วนตัวนี่ ขอบอกว่าล้าสมัยแล้วนะครับ เดี๋ยวนี้เค้าใช้งบประมาณแผ่นดินกันแล้วครับผม ทำโครงการกระดูกเอื้ออาทร แจกกันเข้าไป ทำโครงการกองกระดูกหมู่บ้าน แจกกันเข้าไป ทำโครงการ "หญ้าสามต้นรักษาทุกโรค" แจกกันเข้าไป .. และล่าสุด มีการประกาศขู่ด้วยว่า "เราก็ต้องดูแลสุนัขทั้งประเทศ แต่เนื่องจากว่ากระดูกมันจำกัด เอากระดูกไปให้จังหวัดที่ไว้วางใจเราเป็นพิเศษก่อน จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อย ก็ไปทีหลัง"
คุณวินทร์คิดว่าอย่างไรครับ?
วันนี้คุณวินทร์ตอบมาแล้ว ตอบได้น่ารักมาก .. (แนวเดียวกับที่ตัวละครใน "หลังอานบุรี" สนทนากันเลย)
ตอบเมื่อ: 2005-11-02 21:09:59
หลังอานบุรี 2 ? ล้อเล่นน่า ตอนนี้บ้านเมืองเราน่าอยู่จะตายไป ทุกคนมีเงินใช้ เศรษฐกิจขยายตัว เงินสะพัด เทำงานน้อยชั่วโมง ไม่งั้นผู้คนจะมีเวลาเอสเอ็มเอสคุยกันทั้งวันหรือ รัฐมนตรีน่ารัก ข้าราชการน่ารัก ใครๆ ก็แฮปปี้ คุณไม่แฮปปี้หรือ?
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000150972
"จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เรา ต้องดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งเราก็ต้องดูแลคนทั้งประเทศ แต่เนื่องจากว่าเวลามันจำกัด เอาเวลาไปจังหวัดที่ไว้วางใจเราเป็นพิเศษก่อน จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อย ก็ไปทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป แต่ไปทีหลัง ก็เรียงคิว ต้องเรียงกัน นครสวรรค์เลยเป็นจังหวัดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ จะช่วยกันพัฒนาอย่างเต็มที่..."
"จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เรา ต้องดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งเราก็ต้องดูแลคนทั้งประเทศ แต่เนื่องจากว่าเวลามันจำกัด เอาเวลาไปจังหวัดที่ไว้วางใจเราเป็นพิเศษก่อน จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อย ก็ไปทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป แต่ไปทีหลัง ก็เรียงคิว ต้องเรียงกัน นครสวรรค์เลยเป็นจังหวัดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ จะช่วยกันพัฒนาอย่างเต็มที่..."
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
31 ตุลาคม 2548
31 ตุลาคม 2548
ผมอยากจะเชื่อว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเขียนข่าวผิด ผมอยากจะเชื่อว่านี่เป็นคำพูดที่แต่งเติมขึ้นมา ผมอยากจะเชื่อว่านี่เป็นเพียงข่าวลือที่เมื่อพูดต่อๆ กันมาเนื้อความก็บิดเบือนไปตามความเห็นส่วนตัวของผู้เล่า แท้จริงแล้ว ณ นาทีปัจจุบัน ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านนายกพูดอย่างนั้นจริงๆ
ผมพยายามค้นหาข้อความนี้จากแหล่งอื่น จากหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น จนบัดนี้ผมยังหาไม่เจอ นั่นหมายความว่าอย่างไร?
1.) หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นยังไม่ได้อัพเดตเวบไซต์ของตัวเอง
2.) หนังสือพิมพ์ผู้จัดการโกหก! ท่านนายกไม่ได้พูดข้อความดังกล่าว
3.) ท่านนายกพูดข้อความดังกล่าวจริง แต่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นไม่กล้าลงข่าว!
โอ้ ม่ายยย ม่ายยยยย ผมไม่เชื่อว่าข้อสามจะเป็นจริง บ้านเมืองเราคงจะไม่อัปยศขนาดนี้ เสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศไทยแม้จะลดน้อยลงไปบ้าง แต่ก็คงไม่หดหายไปจนหมดเช่นนี้ จะเหลือก็แต่ข้อ 1 กับข้อ 2 เท่านั้น
สำหรับข้อ 2 ... ผมก็ไม่อยากจะเชื่ออีกนั่นแหละว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดาการจะทำเช่นนั้น จริงอยู่ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ไม่ค่อยถูกคอกับท่านนายกฯ อาจใส่ไข่ข่าวสารเพื่อโจมตีท่านบ้าง แต่คำพูดที่นำมาเสนอนี้อยู่ในเครื่องหมายข้อความ ("") ซึ่งแสดงว่าเป็นส่วนของคำพูดที่คัดลอกมา เป็นส่วนของข้อเท็จจริงว่าท่านนายกฯ พูดอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่ส่วนของความคิดเห็น
นี่ถ้าผลสรุปออกมาว่าข้อความที่นำมาเสนอเป็นเท็จละก็ ผมว่าไม่ใช่แค่ 500 ล้านหละครับ คงจะเป็นหมื่นล้านแสนล้านเลยที่ท่านนายกฯ จะต้องฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เผลอๆ อาจถึงขั้นโดนตั้งข้อหายุแยงให้คนไทยแตกกัน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติไปอีกด้วย
ดังนั้น ถ้าท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ของเรา ได้พูดประโยคนั้นขึ้นมาจริงๆ มันจะหมายความว่าอย่างไร?
ส.ส. ฝ่ายค้าน, นักวิชาการทางด้านการปกครอง, นักกฏหมาย, นักข่าวที่ไม่ค่อยชอบหน้าท่านนายกฯ ต่างออกมาพูดกันว่า ทำอย่างนี้มันขัดรัฐธรรมนูญ ทำอย่างนี้มันเข้าข่ายที่จะยื่นเรื่องถอดถอนได้ ทำอย่างนี้เท่ากับย่ำยีระบอบประชาธิปไตย ... ฯลฯ
เท่ากับว่าคำพูดดังกล่าวของท่านนายกฯ เป็นการ "ฆ่าตัวตาย" โดยแท้ เฮ้อ น่าสงสารท่านนายกฯ อย่าลืมนะว่าท่านเคยถูกมองว่าเป็น "อัศวินม้าขาว" ของปวงชนชาวไทย ตอนนี้ท่านลำบาก ท่านควรได้รับความสงสารบ้าง ... (แหะๆๆ)
ผมไม่แน่ใจหรอกว่ามันจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมไม่ใช่นักกฏหมาย และผมก็ไม่ค่อยมั่นใจด้วยว่าคำพูดอย่างนั้นจะเป็นการ "ย่ำยีประชาธิปไตย" หรือเปล่า ... ผมไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป (เพราะแค่มองในแง่ดีมันก็ร้ายพออยู่แล้ว เอ่อ...)
ท่านนายกฯ ต้องการให้ประชาชนเลือกท่าน จึงเอ่ยคำมั่นออกมาว่า ถ้าเลือกแล้วจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็ขู่ไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าไม่เลือก จะต้องรอรับการดูแลเป็นอันดับหลังๆ ไป ... อย่างนี้เท่ากับท่านนายกกำลังเล่น "พนัน" กับประชาชน โดยมีเดิมพันอยู่ที่ลำดับความสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นของประชาชน
ถ้าคุณคิดว่า งวดหน้า เอ๊ย สมัยหน้า ไทยรักไทยจะได้เป็นรัฐบาลอีก ก็จงเลือกไทยรักไทย เพราะท้องถิ่นของคุณจะได้รับการพัฒนาก่อนใครเพื่อน
ถ้าคุณคิดว่า สมัยหน้า ไทยรักไทยคงไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็อย่าเลือกไทยรักไทยเลย เพราะคำสัญญาที่ว่าคงจะถูกทำให้เป็นจริงไม่ได้ ถ้าไทยรักไทยไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ
เอ้อ เฮ้ย ฟังดูแฟร์ดี? เหมือนนักเลงคุยกัน ตรงไปตรงมา ต่อไปในการเลือกตั้งสมัยหน้าเราก็คงไม่ต้องคำนึงถึงนโยบง นโยบาย ความซื่อสัตย์สุจริต คุณงามความดี ความรู้ความสามารถ ฯลฯ ของผู้สมัคร ส.ส. อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็แค่มานั่งคิดว่า เอ ไทยรักไทยจะได้เป็นรัฐบาลหรือเปล่า? ถ้าเกิดว่าได้... ถ้างั้น ท้องถิ่นของเราอยากได้ "การดูแลเป็นพิเศษ" นี้มากแค่ไหน? มากพอที่เราจะตัดสินใจเลือกไทยรักไทย โดยไม่ต้องสนใจว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยเลยมั้ย? เอ๊ะ .. แล้วอย่างนี้มันเข้าข่ายขายเสียงหรือเปล่าหว่า? เฮ้ย อย่าไปสน ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องไปสน มันเป็นหน้าที่ กกต. ยุคนี้สมัยนี้ สนแต่ตัวเองก็พอใช่ไหม?
ถ้าเราตัดสินใจไม่เลือกไทยรักไทย มันหมายความว่าไง? อืมมม มันหมายความว่าเราท้าทายท่านนายกน่ะสิ! เมื่อเราท้าทายท่าน จังหวัดเราไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลก็จะไปว่าท่านไม่ได้ ท่านประกาศไว้แล้ว เอ๊ะ แต่คิดอีกแง่ การท้าทายนี่ก็ฟังดูเท่ดีนะ มันแปลว่าเราไม่กลัวอำนาจของท่าน หูย เท่ว่ะ
แล้วถ้าเราตัดสินใจเลือกล่ะ? มันหมายความว่าเรา "กลัว" คำขู่ของท่านหรือเปล่า? หรือแปลว่าเรา "โลภ" ในสิ่งที่ท่านสัญญาว่าจะให้หรือเปล่า? เอ๊ะ เดี๋ยวนะ "การดูแล" จากภาครัฐ มันควรจะเป็นสิทธิ์ที่เราต้องได้อยู่แล้วนี่หว่า และก็ต้องได้เท่าเทียมกับจังหวัดอื่นๆ ทุกจังหวัดในประเทศไทยด้วย เฮ้ย! แล้วทำไมเราต้องเลือกไทยรักไทยเพียงเพราะเรากลัวว่าจะได้ "การดูแล" น้อยกว่า หรือล่าช้ากว่าจังหวัดอื่นๆ ฟะ? เอ ฟังดูแปลกๆ นะ
อืม .. ถ้างั้นต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่าง "ความอยากเท่" (ที่ท้าทายท่านนายกฯ) และ "ความโลภ" (ที่อยากได้การดูแลเป็นพิเศษ) ว่าเราจะสนใจอันไหนมากกว่ากัน
บางคนอาจโต้แย้งว่า "ความอยากเท่" จริงๆ แล้วควรเรียกว่า"เกียรติ ศักดิ์ศรี"
บางคนอาจโต้แย้งว่า "ความโลภ" จริงๆ แล้วควรเรียกว่า "การมองตามความเป็นจริง" หรือ "ความรักบ้านเกิด ความรักในจังหวัดท้องถิ่น" ..อืม.. ก็ว่ากันไป
ถ้ามีคนอยากเท่เกินครึ่งประเทศเมื่อไหร่ ท่านนายกอาจจะไม่มีโอกาสได้สนองความโลภของคนที่เหลืออีกต่อไป (ข้อความนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีจริง .... เจ๋ออออย! ผมพูดมากไปแล้ว หุบปากก่อนดีกว่า ก่อนที่จะมีใครมาปิดปาก)
ผมพยายามค้นหาข้อความนี้จากแหล่งอื่น จากหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น จนบัดนี้ผมยังหาไม่เจอ นั่นหมายความว่าอย่างไร?
1.) หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นยังไม่ได้อัพเดตเวบไซต์ของตัวเอง
2.) หนังสือพิมพ์ผู้จัดการโกหก! ท่านนายกไม่ได้พูดข้อความดังกล่าว
3.) ท่านนายกพูดข้อความดังกล่าวจริง แต่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นไม่กล้าลงข่าว!
โอ้ ม่ายยย ม่ายยยยย ผมไม่เชื่อว่าข้อสามจะเป็นจริง บ้านเมืองเราคงจะไม่อัปยศขนาดนี้ เสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศไทยแม้จะลดน้อยลงไปบ้าง แต่ก็คงไม่หดหายไปจนหมดเช่นนี้ จะเหลือก็แต่ข้อ 1 กับข้อ 2 เท่านั้น
สำหรับข้อ 2 ... ผมก็ไม่อยากจะเชื่ออีกนั่นแหละว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดาการจะทำเช่นนั้น จริงอยู่ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ไม่ค่อยถูกคอกับท่านนายกฯ อาจใส่ไข่ข่าวสารเพื่อโจมตีท่านบ้าง แต่คำพูดที่นำมาเสนอนี้อยู่ในเครื่องหมายข้อความ ("") ซึ่งแสดงว่าเป็นส่วนของคำพูดที่คัดลอกมา เป็นส่วนของข้อเท็จจริงว่าท่านนายกฯ พูดอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่ส่วนของความคิดเห็น
นี่ถ้าผลสรุปออกมาว่าข้อความที่นำมาเสนอเป็นเท็จละก็ ผมว่าไม่ใช่แค่ 500 ล้านหละครับ คงจะเป็นหมื่นล้านแสนล้านเลยที่ท่านนายกฯ จะต้องฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เผลอๆ อาจถึงขั้นโดนตั้งข้อหายุแยงให้คนไทยแตกกัน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติไปอีกด้วย
ดังนั้น ถ้าท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ของเรา ได้พูดประโยคนั้นขึ้นมาจริงๆ มันจะหมายความว่าอย่างไร?
ส.ส. ฝ่ายค้าน, นักวิชาการทางด้านการปกครอง, นักกฏหมาย, นักข่าวที่ไม่ค่อยชอบหน้าท่านนายกฯ ต่างออกมาพูดกันว่า ทำอย่างนี้มันขัดรัฐธรรมนูญ ทำอย่างนี้มันเข้าข่ายที่จะยื่นเรื่องถอดถอนได้ ทำอย่างนี้เท่ากับย่ำยีระบอบประชาธิปไตย ... ฯลฯ
เท่ากับว่าคำพูดดังกล่าวของท่านนายกฯ เป็นการ "ฆ่าตัวตาย" โดยแท้ เฮ้อ น่าสงสารท่านนายกฯ อย่าลืมนะว่าท่านเคยถูกมองว่าเป็น "อัศวินม้าขาว" ของปวงชนชาวไทย ตอนนี้ท่านลำบาก ท่านควรได้รับความสงสารบ้าง ... (แหะๆๆ)
ผมไม่แน่ใจหรอกว่ามันจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมไม่ใช่นักกฏหมาย และผมก็ไม่ค่อยมั่นใจด้วยว่าคำพูดอย่างนั้นจะเป็นการ "ย่ำยีประชาธิปไตย" หรือเปล่า ... ผมไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป (เพราะแค่มองในแง่ดีมันก็ร้ายพออยู่แล้ว เอ่อ...)
ท่านนายกฯ ต้องการให้ประชาชนเลือกท่าน จึงเอ่ยคำมั่นออกมาว่า ถ้าเลือกแล้วจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็ขู่ไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าไม่เลือก จะต้องรอรับการดูแลเป็นอันดับหลังๆ ไป ... อย่างนี้เท่ากับท่านนายกกำลังเล่น "พนัน" กับประชาชน โดยมีเดิมพันอยู่ที่ลำดับความสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นของประชาชน
ถ้าคุณคิดว่า งวดหน้า เอ๊ย สมัยหน้า ไทยรักไทยจะได้เป็นรัฐบาลอีก ก็จงเลือกไทยรักไทย เพราะท้องถิ่นของคุณจะได้รับการพัฒนาก่อนใครเพื่อน
ถ้าคุณคิดว่า สมัยหน้า ไทยรักไทยคงไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็อย่าเลือกไทยรักไทยเลย เพราะคำสัญญาที่ว่าคงจะถูกทำให้เป็นจริงไม่ได้ ถ้าไทยรักไทยไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ
เอ้อ เฮ้ย ฟังดูแฟร์ดี? เหมือนนักเลงคุยกัน ตรงไปตรงมา ต่อไปในการเลือกตั้งสมัยหน้าเราก็คงไม่ต้องคำนึงถึงนโยบง นโยบาย ความซื่อสัตย์สุจริต คุณงามความดี ความรู้ความสามารถ ฯลฯ ของผู้สมัคร ส.ส. อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็แค่มานั่งคิดว่า เอ ไทยรักไทยจะได้เป็นรัฐบาลหรือเปล่า? ถ้าเกิดว่าได้... ถ้างั้น ท้องถิ่นของเราอยากได้ "การดูแลเป็นพิเศษ" นี้มากแค่ไหน? มากพอที่เราจะตัดสินใจเลือกไทยรักไทย โดยไม่ต้องสนใจว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยเลยมั้ย? เอ๊ะ .. แล้วอย่างนี้มันเข้าข่ายขายเสียงหรือเปล่าหว่า? เฮ้ย อย่าไปสน ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องไปสน มันเป็นหน้าที่ กกต. ยุคนี้สมัยนี้ สนแต่ตัวเองก็พอใช่ไหม?
ถ้าเราตัดสินใจไม่เลือกไทยรักไทย มันหมายความว่าไง? อืมมม มันหมายความว่าเราท้าทายท่านนายกน่ะสิ! เมื่อเราท้าทายท่าน จังหวัดเราไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลก็จะไปว่าท่านไม่ได้ ท่านประกาศไว้แล้ว เอ๊ะ แต่คิดอีกแง่ การท้าทายนี่ก็ฟังดูเท่ดีนะ มันแปลว่าเราไม่กลัวอำนาจของท่าน หูย เท่ว่ะ
แล้วถ้าเราตัดสินใจเลือกล่ะ? มันหมายความว่าเรา "กลัว" คำขู่ของท่านหรือเปล่า? หรือแปลว่าเรา "โลภ" ในสิ่งที่ท่านสัญญาว่าจะให้หรือเปล่า? เอ๊ะ เดี๋ยวนะ "การดูแล" จากภาครัฐ มันควรจะเป็นสิทธิ์ที่เราต้องได้อยู่แล้วนี่หว่า และก็ต้องได้เท่าเทียมกับจังหวัดอื่นๆ ทุกจังหวัดในประเทศไทยด้วย เฮ้ย! แล้วทำไมเราต้องเลือกไทยรักไทยเพียงเพราะเรากลัวว่าจะได้ "การดูแล" น้อยกว่า หรือล่าช้ากว่าจังหวัดอื่นๆ ฟะ? เอ ฟังดูแปลกๆ นะ
อืม .. ถ้างั้นต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่าง "ความอยากเท่" (ที่ท้าทายท่านนายกฯ) และ "ความโลภ" (ที่อยากได้การดูแลเป็นพิเศษ) ว่าเราจะสนใจอันไหนมากกว่ากัน
บางคนอาจโต้แย้งว่า "ความอยากเท่" จริงๆ แล้วควรเรียกว่า"เกียรติ ศักดิ์ศรี"
บางคนอาจโต้แย้งว่า "ความโลภ" จริงๆ แล้วควรเรียกว่า "การมองตามความเป็นจริง" หรือ "ความรักบ้านเกิด ความรักในจังหวัดท้องถิ่น" ..อืม.. ก็ว่ากันไป
ถ้ามีคนอยากเท่เกินครึ่งประเทศเมื่อไหร่ ท่านนายกอาจจะไม่มีโอกาสได้สนองความโลภของคนที่เหลืออีกต่อไป (ข้อความนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีจริง .... เจ๋ออออย! ผมพูดมากไปแล้ว หุบปากก่อนดีกว่า ก่อนที่จะมีใครมาปิดปาก)