tag:blogger.com,1999:blog-119052672024-03-12T22:24:28.143-04:00Mock's blogรวมเรื่องราวที่ไม่ส่วนตัวนักของนายม็อค
ประกอบด้วยบทความทาง สังคม, ปรัชญา, การเมือง, ความรัก, ความมั่นคงของชาติ!, ศาสนา, วิชาการ, ละครน้ำเน่า, เรื่องก้ำกึ่งทางศีลธรรม, ฯลฯmockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.comBlogger81125tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-76098295197144622162010-10-10T19:50:00.001-04:002010-10-10T19:50:44.657-04:00มะโฮ เบต้ากลูแคน<div>เมื่อคืนวันพฤหัสฯ ที่ 7 ต.ค. 2553 ผมโทรคุยกับคุณแม่ แล้วได้ยินว่าคุณแม่ซื้อ "อาหารเสริม" มากล่องหนึ่ง ราคาประมาณ 3000 บาท ในกล่องมีอยู่ 5 ซอง ทานได้ 5 วัน ราคาเฉลี่ยวันละประมาณ 600 บาท</div><div><br /></div><div>คนรู้จักที่เคารพนับถือกันอยู่ท่านหนึ่งเป็นคนพาผู้ขายมาแนะนำให้ โดยผู้ขายบอกว่าอาหารเสริมชนิดนี้สามารถลดผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดได้</div><div><br /></div><div>คุณแม่เห็นว่าราคาวันละ 600 บาทนี้ ถือว่าถูกมากเทียบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการรักษามะเร็ง จึงตัดสินใจซื้อมาลอง คิดว่าคงไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าได้ผลก็ดี ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร</div><div><br /></div><div>ผมขอให้คุณแม่รอก่อน อย่าเพิ่งทานจนกว่าจะได้ปรึกษากับคุณหมอนภา ในระหว่างนี้ผมจะทำการสืบค้นข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์นี้มีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่อย่างไร</div><div><br /></div><div>---</div><div><br /></div><div>อาหารเสริมชนิดนี้ชื่อว่า มะโฮ เบต้ากลูแคน </div><div><br /></div><div>จากการสืบค้นพบว่าบริษัทที่นำเข้า ชื่อว่า บริษัท แคทส์ ดอต คอม (ประเทศไทย) จำกัด ในเว็บไซต์ของบริษัทฯ มีข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เขียนอยู่ในหน้านี้</div><div>http://www.cats.co.th/product_q&a.html</div><div><br /></div><div>สาระสำคัญที่ผมอ่านได้จากเว็บไซต์ของบริษัทนั้นคือ:</div><div>1) ผลิตภัณฑ์นี้คือ "อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ 'ไม่ใช่ยารักษาโรค'"</div><div><br /></div><div>2) ไม่มีการกล่าวอ้างว่าจะช่วยลดผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดแต่อย่างใด แสดงว่าข้ออ้างดังกล่าวคงเกิดจากการบิดเบือน (โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ) ของผู้ขายเอง </div><div><br /></div><div>3) ในคำถาม-ตอบ ข้อที่ 9 มีการกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์นี้ "ได้มาจากธรรมชาติและไม่ใช่ยารักษาโรค จึงไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงแต่อย่างใด" ซึ่งเป็นตรรกะที่ผิดพลาด ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ ก็ทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น poison oak, poison ivy, พืชมีพิษทั้งหลาย, ฯลฯ </div><div><br /></div><div>4) มีการกล่าวว่า "สามารถรับประทานร่วมกับยาได้เช่นเดียวกับอาหารประเภทอื่นๆ แต่เพื่อความมั่นใจแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์" ซึ่งข้อความนี้ผมคิดว่าควรจะเขียนตัวโตๆ และเขียนแปะไว้บนกล่องและด้านบนของเว็บไซต์ให้เห็นชัดเจนกว่านี้</div><div><br /></div><div>5) ผู้ที่รับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์นี้คือ "สถาบันคิตะซาโตะ" ซึ่งอาจจะมีจริงหรือไม่มีจริง อาจจะเชื่อถือได้หรืออาจจะเชื่อถือไม่ได้ อาจจะมีการรับรองคุณภาพจริงๆ หรือไม่จริงก็ได้ แต่ความจริงก็คือ ผมไม่สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย เพราะในเว็บดังกล่าวไม่มีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสถาบันนี้อยู่ที่ใด มีเว็บไซต์และข้อมูลติดต่อของผู้รับผิดชอบหรือไม่? มีประกาศนียบัตรให้สามารถตรวจสอบได้เป็นภาษาอังกฤษหรือไม่? มีแต่ข้อมูลว่าเป็น "สถาบันอิสระซึ่งทำการวิเคราะห์โครงสร้างระดับโมเลกุลของสารที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ (เบต้า-กลูแคน) กระทรวงสุขภาพ แรงงานและสวัสดิการแห่งประเทศญี่ปุ่น" ซึ่งน่าแปลกใจเหมือนกันว่าหมายความว่าอย่างไร? ทำไมสถาบัน "อิสระ" นี้จึงขึ้นกับกระทรวงแรงงาน?? บางทีอาจจะเขียนผิด บางทีญี่ปุ่นอาจจะมีระบบการจัดการที่แตกต่างจากไทย</div><div><br /></div><div>6) ไม่พบว่ามีอยู่ของโรงงานที่ผลิต ซึ่งน่าแปลกใจ เหตุใดจึงไม่บอกสถานที่ผลิต?</div><div><br /></div><div>7) บริษัทผู้นำเข้านี้ท่าทางจะมีตัวตนอยู่จริงๆ มีที่อยู่ของบริษัทอยู่ที่ "2521/33 ถนนลาดพร้าว แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ" และมีสำเนาของใบอนุญาตประกอบธุรกิจขายตรงจาก สคบ. ให้เห็นได้อยู่ที่ http://www.cats.co.th/plan9.html ซึ่งจากการอ่านดูเบื้องต้นไม่พบความไม่ชอบมาพากลใดๆ</div><div><br /></div><div>8) ผู้นำเข้าบอกว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หมายเลข อ.ย. 10-3-19051-1-0001 ผมทำการสอบจากเว็บไซต์ของ อ.ย. ที่ http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/food/FSerch.asp?id=food พบว่า "มะโฮ (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเบต้ากลูแคน)" ได้รับการรับรองจาก อ.ย. จริงๆ โดยสถานะกันรับรองยังคงอยู่ การรับรองนี้แสดงว่า อ.ย. รับรองว่า "ปลอดภัยเพียงพอต่อการบริโภค" ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าการพิจารณาอนุญาต "ไม่มีการพิสูจน์สรรพคุณใดๆ ทั้งสิ้น" (อ้างจาก http://newsser.fda.moph.go.th/food/FAQ-Ganeral01.php) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ FDA ของสหรัฐอเมริกาใช้ในการพิจารณาอนุญาตอาหารเสริม</div><div><br /></div><div>---</div><div><br /></div><div>โดยทั่วไปแล้วผมไม่ชอบลักษณะการทำงานของธุรกิจขายตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพ เพราะโครงสร้างของแรงจูงใจทางการเงินในธุรกิจแบบนี้มักก่อให้เกิดภาวะ conflict of interests (แปลว่า ผลประโยชน์ขัดกัน? / ผลประโยชน์ทับซ้อน?) ระหว่างเงินกับการให้ข้อมูลอย่างซื่อสัตย์ เปิดเผย ตรงไปตรงมา </div><div><br /></div><div>พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าตัวผู้ขายเองจะมีความซื่อสัตย์ส่วนตัวอยู่มากเพียงไร แต่ความซื่อสัตย์ดังกล่าวย่อมถูกกดดันจากแรงจูงใจอื่นๆ ทั้งในด้านการเงินและในด้านของตำแหน่งสถานะในบริษัท </div><div><br /></div><div>ที่เขียนเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าผมเชื่อว่าผลิตภัณฑ์จากการขายตรงนั้นเชื่อถือไม่ได้ ความจริงก็คือไม่เกี่ยวกันเลย ผลิตภัณฑ์จะเชื่อถือได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นกับตัวผลิตภัณฑ์เองโดยไม่เกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการตลาด แต่คำโฆษณาต่างหากที่อาจจะเชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคำโฆษณาที่มาจากบริษัทที่เชื่อถือไม่ได้</div><div><br /></div><div>บริษัท แคทส์ ดอต คอม นั้น เชื่อถือได้หรือไม่?</div><div><br /></div><div>ถ้าเทียบกับบริษัทขายตรงอื่นๆ เช่น เฮอร์บาลไลฟ์ หรือแอมเวย์ (ซึ่งแม้จะมีคนไม่ชอบ แต่ก็เป็นบริษัทที่มีตัวตนอยู่จริงมานานแล้ว) แล้ว ผมเห็นว่า แคทส์ ดอต คอม ยังมีชื่อเสียงน้อยกว่า แต่ถ้าเทียบกับบริษัทที่ขายปูแดงไคโตซาน (ซึ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ามีลักษณะฉ้อโกง) จากการสืบค้นเบื้องต้นก็พบว่ายังไม่มีข่าวใดๆ ที่ทำให้ แคทส์ ดอต คอม เสียหายถึงขั้นนั้น</div><div><br /></div><div>ที่พบก็มีแค่ข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งจากสยามธุรกิจที่มีหัวข้อว่า "สคบ.ลับดาบเชือด แคทส์ ดอท คอม ไม่ใช่ธุรกิจขายตรง"</div><div>http://www.mlm.in.th/สคบ.ลับดาบเชือด-แคทส์-ดอท-คอม-ไม่ใช่ธุรกิจขายตรง.html</div><div>ซึ่งดูเหมือนว่าบริษัทนี้จะเคยมีปัญหาทางเทคนิคกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค</div><div><br /></div><div>และข่าวนี้ จาก นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 152 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2552 มีหัวข้อข่าวว่า "ระวัง!ช่องโหว่กม.ขายตรงฯเอื้อประโยชน์แชร์ลูกโซ่"</div><div>http://forum.myaimstar.com/index.php?topic=59.0</div><div>ซึ่งเป็นข่าวที่ขยายความข่าวแรก และมีบทวิเคราะห์ว่าช่องโหว่ของกฎหมายเกี่ยวกับ สคบ. ยังมีอยู่ และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ดังนั้นประชาชนจะต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก ผมเข้าใจว่านั่นคงแปลว่า การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งอ้างว่าดำเนินการถูกต้องตามกฏของ สคบ. ก็ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะสรุปได้ว่าบริษัทนั้น หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ หรือคำอวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะเชื่อถือได้เสมอไป วิจารณญาณยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอในการตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่แพทย์ไม่ได้สั่ง</div><div><br /></div><div>---</div><div><br /></div><div>ข้อสรุปเบื้่องต้น: </div><div><br /></div><div>1) เนื่องจากบริษัทผู้นำเข้ามีตัวตนจริง และผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองจาก อ.ย. ว่าปลอดภัยจริง ผมก็จะไม่แสดงความเห็นแย้งใดๆ ถ้าคุณแม่คิดอยากจะลองทานดู แต่จะต้องปรึกษากับคุณหมอนภาเสียก่อน (คุณหมอนภา คือ oncologist ของคุณแม่) </div><div><br /></div><div>2) คำกล่าวอ้างสรรพคุณที่ได้ยินจากผู้ขายครั้งแรกที่ว่าสามารถลดผลข้างเคียงของเคมีบำบัดได้ เป็นคำกล่าวที่ไร้สาระ ปราศจากหลักฐาน แม้แต่บริษัทที่นำเข้าเองยังไม่โฆษณาเช่นนั้น </div><div><br /></div><div>3) กลไกธุรกิจขายตรงเป็นลักษณะที่น่าสงสัย และบริษัทผู้นำเข้าเคยมีปัญหากับ สคบ. จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับบริษัทนี้ ควรจำกัดความสำพันธ์กับบริษัทเพียงแค่ในฐานะผู้ซื้อเท่านั้น</div><div><br /></div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-52798709779833109192009-02-23T17:40:00.000-05:002009-02-23T17:41:53.204-05:00a year and a day<div>It has been one year + one day since Mom got the cancer diagnosis. On Feb-22, 2008, Mom had a CT scan, a colonoscopy, a deadly diagnosis, and a life-saving colon surgery on the same day. </div><div><br /></div><div>Over the past year, Mom has fought hard, going through the most aggressive and advanced chemotherapy for 8 months, followed by about 2 months of rests and preparations for another surgery. On Jan-9, 09, Mom had a hepatomy (liver resection) by the most elite team in the country. </div><div><br /></div><div>Today, about 2 months after the latest surgery, Mom had her first follow-up MRI. It was done at Bamrungrat Hospital in Bangkok. She will know the results when she meets with her surgeon (Dr Boonchoo) at Bangpakok I Hospital on Mar-1, 09. Then, two days later (Mar-3), she will see her oncologist at Chula Hospital. </div><div><br /></div><div>My sister got a speeding ticket while driving Mom to the MRI today. It's interesting that the cops give tickets to cancer patients. Hmmm, rule of law is very strict in Thailand. I guess that's a good thing for the country. </div><div><br /></div><div>We pray for the best outcome from the MRI. Hopefully the cancer is completely gone and no follow-up procedures are neccessary. But we will do what we have to do. Mom has to be cured. We will fight to the end and the end will be a success. </div><div><br /></div><div>Thanks to all supporters and well-wishers: friends, family, relatives, teachers, doctors, internet strangers. I will keep you updated. </div><div><br /></div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-10431938704962260572009-02-23T01:57:00.001-05:002009-02-23T01:57:55.123-05:00รสชาติที่เปลี่ยนไป<div>ความฝืดคอและความขมขื่น มันกลายเป็นความชื่นใจและชื่นชม เพราะสิ่งที่ได้ยินระหว่างกระเพราเป็ดคำนั้นเพียงคำเดียว</div><div><br /></div><div>... ย้อนเวลากลับไป 15 นาที ....</div><div><br /></div><div>ผมกำลังนั่งทานกระเพราเป็ด (จากร้านรสเด็ด ใน LA) ข้าวกล้อง (จาก 99 Ranch ใน Berkeley) และสลัด (ผักจาก Costco, น้ำสลัดจาก Berkeley Bowl) อย่างเอร็ดอร่อย ตาก็จ้องทีวีซึ่งกำลังเปิดช่อง CNBC สารคดีระหว่างอาหารเย็นมื้อนี้เป็นเรื่องของ Harvard Business School (HBS)</div><div><br /></div><div>เรื่องราวตอนต้นเป็นการกล่าวถึงชีวิตใน HBS ว่ามันยากลำบากอย่างไรบ้าง ความกดดันมันสูงแค่ไหน การที่นักเรียนต้องทำงาน "36 ชั่วโมง ในแต่ละวัน" มันโหดร้ายเพียงใด</div><div><br /></div><div>ฟังแล้วก็เครียด น่ากลัว หดหู่ อาหารมื้ออร่อยที่กำลังทานอยู่ก็เริ่มฝืดคอ </div><div><br /></div><div>ดูทีวีต่อไปอีกสักพักก็เริ่มมีบทวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีผู้ประสบความสำเร็จตั้งหลายคนที่ไม่ได้จบจาก HBS เช่น บิลล์ เกตส์ แ ห่งไมโครซอฟท์, เซอร์กี้ กับ แลรี่ แห่ง กูเกิ้ล, วอเรน บัฟเฟต์ แห่งโอมาฮา, ฯลฯ ... แท้จริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยจบ business school ที่ไหนเลยด้วยซ้ำ!</div><div><br /></div><div>ในทางตรงข้าม คนที่จบ HBS บางคนกลับทำเรื่่องงามหน้าไม่น้อย เช่น Jeffrey Skilling ซีอีโอของเอ็นรอน ซึ่งกำลังติดคุกอยู่ในขณะนี้</div><div><br /></div><div>ฟังถึงจุดนี้ กระเพราะเป็ดของผมเริ่มเปลี่ยนรสชาติ จากแซ่บกลายเป็นเฝื่อน ผักสลัดก็เริ่มเปลี่ยนจากสดเป็นขมปี๋ ข้าวกล้องที่เคยลื่นคอก็เริ่มติดคอ</div><div><br /></div><div>มันช่างเป็นรายการที่ไม่คู่ควรกับมื้ออาหารอย่างยิ่ง!</div><div><br /></div><div>... พักโฆษณา ...</div><div><br /></div><div>ผมทานอาหารของผมไปเรื่อยๆ รสชาติอาหารยังไม่ดีขึ้น ผมคิดว่าจะเปลี่ยนช่องดีหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่ารีบกินให้เสร็จๆ ไปดีกว่า จะได้รีบไปทำงานต่อ ถ้าผมโชคดีผมอาจจะกินเสร็จก่อนโฆษณาจบก็ได้</div><div><br /></div><div>ผมตักมื้อเกือบสุดท้ายขึ้นมา กำลังจะเอาเข้าปาก ผมคาดหวังรสชาติที่แย่ที่สุดจากกระเพราเป็ดคำนั้น แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กินมัน.. รายการนั้นกลับมาอีกครั้งพอดี</div><div><br /></div><div>ช่วงนี้ของรายการเป็นช่วงที่กล่าวถึงศิษย์เก่าที่น่าชื่นชมของ HBS: แคธี่ จูสตี (Kathy Giusti) </div><div><br /></div><div>... ย้อนเวลากลับไป 13 ปี ...</div><div><br /></div><div>หลังจากเรียนจบ Harvard Business School คุณ แคธี่ จูสตี ทำงานที่บริษัทยาแห่งหนึ่ง มีลูกหนึ่งคนอายุหนึ่งขวบ </div><div><br /></div><div>อยู่ดีๆ แท้ๆ เธอก็ได้ข่าวร้าย</div><div><br /></div><div>เธอเป็นมะเร็งชนิดที่เรียกว่า Multiple Myeloma ซึ่งในขณะนั้น ไม่มีทางรักษาได้ หมอบอกว่าเธอมีเวลาอีก 3 ปี</div><div><br /></div><div>แคธี่ เป็นคนเก่ง และเป็นนักสู้ เธอเริ่มหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดนั้น แล้วข้อมูลที่เธอได้รับก็คือ โอกาสเธอมีน้อยมาก ไม่มียาชนิดใดที่จะช่วยยืดชีวิตเธอได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหน่วยงานวิจัยแต่ละแห่งที่กำลังทำวิจัยเรื่องนี้ ก็ต่างทำงานเป็นภาคส่วน ไม่มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ</div><div><br /></div><div>ด้วยความเป็นผู้นำในตัวเธอ เธอตัดสินใจลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่แค่สู้ให้ตัวเองรอด แต่เธอต้องการสู้ให้คนอื่นที่เป็นมะเร็งชนิดนี้รอดใ นที่สุด -- แม้ว่าหากเธอเองจะไม่รอดก็ตาม</div><div><br /></div><div>เธอจัดตั้งมูลนิธิ Multiple Myeloma Research Foundation (MMRF) ขึ้นมาเพื่อหาเงินสนับสนุนงานวิจัยมะเร็ง และเธอเองก็ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อบริหารจัดการมูลนิธินี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เธอประสานงานกับหน่วยงานวิจัยและโรงพยาบาลต่างๆ 15 แห่ง </div><div><br /></div><div>ด้วยความถนัดของเธอทางธุรกิจ เธอจึงบริหารจัดการมูลนิธินี้อย่างธุรกิจ จัดสรรผลประโยชน์ให้ฝ่ายต่างๆ มีการกำหนดเป้าหมายและเส้นตายอย่างชัดเจน มีการประเมินผลอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างจึงเคลื่อนที่เร็วมาก -- มันจำเป็นต้องเคลื่อนที่เร็วมาก เพราะเธอเองไม่มีเวลาเหลือมากนัก</div><div><br /></div><div>นักข่าวถามเธอว่า "คุณสร้างมูลนิธินี้เพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น?" </div><div><br /></div><div>เธอตอบว่า หากเธออยู่ได้แค่อีกสามปี ลูกสาวอาจจะจำเธอไมได้เมื่อเธอจากไป แต่หากมูลนิธินี้ประสบความสำเร็จบ้าง เธออาจจะอยู่ได้อีกสัก 4 ปี เมื่อลูกสาวเธออายุ 5 ขวบ ก็คงจะจำเธอได้ </div><div><br /></div><div>เธอไม่ได้อวดอ้างว่าตัวเองทำเพื่อมนุษยชาติ เธอทำเพื่อลูกสาวคนเดียวของเธอ</div><div><br /></div><div>ผมฟังแล้วตื้นตัน นี่แหละหนา ความคิดของคนที่เป็นแม่</div><div><br /></div><div>... เวลาผ่านไป 5 ปี ...</div><div><br /></div><div>เธอยังไม่ตาย! </div><div><br /></div><div>และไม่ใช่เท่านั้น เพื่อนร่วมชะตากรรมของเธออีกกว่า 50,000 คนทั่วโ ลก ต่างได้รับอานิสงส์จากยา 5 ชนิด ที่มูลนิธิ MMRF ของเธอ ได้มีส่วนสนับสนุนเงินกว่า 102 ล้านดอลล่าร์ ในการค้นพบ: Velcade, Thalomid, Revlimid, และ Doxil</div><div><br /></div><div>เธอเองมีชีวิตรอดได้จากการทำเคมีบำบัด การปลูกถ่ายไขกระดูก และการใช้ยาขนานใหม่ที่หากเธอไม่ได้ลุกขึ้นสู้อย่างสุดชีวิตในวันนั้น อาจจะถูกค้นพบได้ไม่ทันในวันนี้</div><div><br /></div><div>ค่าเฉลี่ยอายุขัยของผู้ที่เป็นมะเร็งชนิดนี้ เพิ่มขึ้นจาก 3-4 ปี เป็น 6-7 ปี เธอบอกว่าแม้จะฟังดูเหมือนไม่มาก แต่สำหรับผู้ป่วยแล้ว การได้รับเวลาแห่งชีวิตเพิ่มขึ้นสองเท่านั้นเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไม่น้อยเลย</div><div><br /></div><div>เธอได้รับเวลาแห่งชีวิตคืน มากกว่าสองเท่า</div><div><br /></div><div>... เวลาผ่านไป จนถึงปัจจุบัน ...</div><div><br /></div><div>เธอยังมีชีวิตอยู่ ยังคงทำงานอยู่กับมูลนิธิ MMRF และวันนี้เธออยู่ในจอทีวีข้างหน้าผม ในฐานะศิษย์เก่าตัวอย่างของ Harvard Business School</div><div><br /></div><div>เพื่อนๆ สมัยเรียน ได้ช่วยเธอเขียนแผนธุรกิจของมูลนิธิตั้งแต่เริ่มต้น ความรู้ที่เธอได้เรียนมาช่วยให้เธอค้นพบวิธีดำเนินการอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญที่สุด ประสบการณ์ที่แข็งกล้าของเธอสอนให้เธอเป็นนักสู้และนักแก้ปัญหา เมื่อเธอพบว่าตนเองเป็นมะเร็งเธอก็หาวิธีแก้ตามแบบฉบับของเธอ </div><div><br /></div><div>นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่ได้ เธอมีชีวิตอยู่กับลูกสองคนของเธอ และมูลนิธิ MMRF ซึ่งกำลังพยายามวิจัยพัฒนายาอีกกว่า 30 รายการ ด้วยความหวังจะรักษามะเร็งชนิดนี้ให้หายขาดได้ในทุกคน</div><div><br /></div><div>... เวลาผ่านไปเ พียงชั่วขณะ ...</div><div><br /></div><div>อาหารอร่อยแล้ว กระเพราเป็ดคำนั้นเคลื่อนเข้าปากผม ผมเคี้ยวและกลืนอย่างเอร็ดอร่อยได้อีกครั้ง ความฝืดคอและความขมขื่น มันกลายเป็นความชื่นใจและชื่นชม เพราะสิ่งที่ได้ยินระหว่างกระเพราเป็ดคำนั้นเพียงคำเดียว</div><div><br /></div><div>... จบ ...</div><div><br /></div><div>วิดิโอ จาก CNBC: http://www.cnbc.com/id/15840232?video=946536690</div><div>(แค่บางส่วน)</div><div><br /></div><div>วิดิโอ จาก CNN: http://money.cnn.com/video/#/video/news/2008/03/07/gw.cancer.cnnmoney</div><div>(ออกอากาศตั้งแต่ มี.ค. 08)</div><div><br /></div><div>เว็บไซต์ของมูลนิธิ MMRF: http://www.multiplemyeloma.org/foundation/1.19.php</div><div>(บริจาคเงินได้ที่นี่)</div><div><br /></div><div><br /></div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-901042638271382382009-02-09T03:18:00.001-05:002009-02-09T03:19:38.597-05:00มาฆบูชา น่าอัศจรรย์จริงหรือ?<div><span class="Apple-style-span" style="font-family: 'Lucida Grande'; font-size: 12px; ">เมื่อครั้งผมอยู่ ป.3 (grade school) ผมได้รู้จักวันมาฆบูชา แล้วผมก็งุนงงสงสัย วันนี้ซึ่งผมอยู่ปี 3 (grad school) ผมได้รับคำตอบ</span><br /></div><div> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ผมถูกสอนว่า วันมาฆบูชาเป็นวันที่มี "สิ่งอัศจรรย์" เกิดขึ้น 4 ประการ (technical term: "จาตุรงคสันนิบาต")</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">1) พระอรหันต์ 1250 รูปมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">2) ทุกรูปเป็นพระที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ (technical term: "เอหิภิกขุ")</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">3) การประชุมเกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">4) เป็นวันเพ็ญเดือนสาม (== เดือนมาฆะ)</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">เอ๊ะ .. มันน่าอัศจรรย์จริงๆ หรือ?</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ข้อ 1: สาวกของพระพุทธเจ้ามีอยู่มาก 1250 ไม่ใช่ตัวเลขที่สูงจนน่าอัศจรรย์ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเลขสวย (1250 = 5*5*5*5*2 = 5^4 * 2) แต่ถ้าเป็น 3125 จะสวยกว่ามาก (3125 = 5^5) </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ข้อ 2: พระพุทธเจ้าทรงบวชให้คนตั้งเยอะแยะ และไม่เป็นที่ชัดเจนว่่านอกจาก 1250 รูปซึ่งเป็นเอหิภิกขุนั้นแล้ว ยังมีพระอรหันต์รูปอื่นซื่งไม่ใช่เอหิภิกขุอยู่ในบริเวณนั้นอีกหรือไม่ </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ข้อ 3: การที่ท่านเหล่านั้นไม่ได้นัดกันไม่ใช่เรื่องแปลก ผมเชื่อว่าทุกวันย่อมมีพระอรหันต์มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเนืองนิจอยู่แล้ว อาจจะมีมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่วัน บางวันอาจจะมีร้อยรูป บางวันพันรูป บางวัน 1024 รูป บางวัน 2048 รูป ฯลฯ แต่เผอิญว่าวันนั้นมี 1250 รูป เลขสวยดี ก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา อีกทั้งในตำนานก็ไม่ได้บอกด้วยว่า 1250 เป็นจำนวนพระอรหันต์ที่มากที่สุดที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันเดียวกัน </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">อีกอย่าง ถ้าท่านเหล่านั้นนัดกันมาได้สิ ถึงจะน่าแปลก สมัยนั้นโทรศัพท์ก็ไม่มี จดหมายก็ต้องใช้ม้าเร็วส่ง ไม่มีรถยนต์ ไม่มี air mail ไม่มีอีเมลล์ ไม่มี facebook ไม่มี hi-5 การนัดกันคงจะยากกว่าการไม่นัดกัน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ข้อ 4: วันเพ็ญเกิดขึ้นทุกเดือน ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์อยู่แล้ว การที่วันนั้นเป็นวันเพ็ญยิ่งทำให้ข้อ 3 เสียความน่าอัศจรรย์เข้าไปอีก เพราะว่าวันเพ็ญเป็นวันที่มีแสงสว่าง เหมาะกับการเดินทาง เหมาะกับการนั่งฟัง lecture ยามค่ำคืน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ผมจึงนั่งงง ว่าวันนี้มีความสำคัญอย่างไรกันแน่?</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">...</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">"โอวาทปาติโมกข์" ใช่แล้ว! โอวาทปาติโมกข์! </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ความสำคัญอีกประการหนึ่งของวันมาฆบูชาก็คือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมชื่อว่า "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "หัวใจของพระพุทธศาสนา" มีใจความสรุปคือ: 1) ทำดี 2) ละชั่ว 3) ทำใจให้ผ่องใส</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ความจริงข้อนี้ไม่ได้ถูกจัดเป็นหนึ่งในสี่เรื่องอัศจรรย์ แต่ก็เป็นเรื่องที่ปรากฎในหนังสือเรียนพระพุทธศาสนาทุกเล่ม</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ดังนั้นหากวันมาฆบูชาจะมีความสำคัญ ก็คงไม่ได้สำคัญที่สิ่งอัศจรรย์ข้างต้นเหล่านั้น แต่สำคัญที่ใจความข้อสุดท้ายนี้ต่างหาก ที่ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอันเป็น tag line / slogan / mission statement / motto / catch phrase / axiom / thesis statement ของพระพุทธศาสนา </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">การยกคำสอน "ทำดี ละชัว ทำใจให้ผ่องใส" ขึ้นเป็นหัวใจของศาสนานั้น ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่สั้น ง่าย ได้ใจความ สามารถแบ่งแยกลักษณะของศาสนาพุทธออกจากศาสนาอื่นได้อย่างชัดเจน ที่เห็นได้ชัดก็คือศาสนานี้เชื่อว่ามนุษย์สามารถ "เลือก" ที่จะทำหรือไม่ทำได้ด้วยตนเอง (เชื่อใน free will), ไม่ยึดมั่นในพระเจ้า (ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้า แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญ), และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับจิตใจ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แต่กระนั้น ... หากลองพิจารณาดูว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกวัน แสดงหลักธรรมต่างๆ อื่นๆ อีกมากมาย ทำไมวันที่พระองค์แสดงหลักธรรมข้ออื่นจึงไม่เป็นวันสำคัญบ้าง?</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ผมจึงต้องนั่งงงต่อไป</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">...</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">wikipedia! ใช่แล้ว wikipedia! </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ผมเก็บความงุนงงสงสัยมานานหลายปี แต่ผมไม่เคยวิกิพีเดียเรื่องนี้ดูเลยสักครั้งเดียว (ในที่นี้ "วิกิพีเดีย" เป็น verb) ผมจึงลองเข้าไปอ่านดู ก็พบว่า...</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">วันนี้เป็นวันเพ็ญเดือนมาฆะ (เดือนสาม) ครั้งแรกหลังการตรัสรู้ นับเป็นเวลา 9 เดือนพอดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องมีเหตุมีผลที่วันเพ็ญเดือนสามครั้งนี้จะมีความพิเศษมากกว่าวันเพ็ญเดือนสามครั้งอื่นๆ </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แต่.. วันเพ็ญเดือนสามแล้วไง? มันสำคัญอย่างไร?</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">อ่านต่อไปจึงได้เรียนรู้ว่า: "วันเพ็ญเดือนสาม" เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ มีชื่อทางเทคนิคว่า "วันศิวาราตรี" ผู้คนจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการ "ลอยบาป" หรือล้างบาปด้วยน้ำ </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">พระอรหันต์ 1250 รูปนั้น ล้วนเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน และเคยทำพิธีลอยบาปมาทุกปี จนกระทั่งปีนี้เป็นวันเพ็ญเดือนสามครั้งแรกที่พวกท่านเหล่านั้นจะไม่ได้ทำพิธีให้พระศิวะอีกต่อไป ตรงกันข้าม! ท่านกลับยกขบวนกันมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">การที่พระพุทธเจ้าเลือกแสดงธรรมที่เป็นหัวใจของศาสนาในวันนี้ จึงเป็น milestone ที่สำคัญ เพราะจัดว่าเป็นการประกาศชัยชนะ (ในไตรมาสที่สาม) </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">Mission Accomplished!</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">วันมาฆะบูชามีความอัศจรรย์อย่างนี้นี่เอง :)</p> </div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-56256782431740302782008-10-01T18:55:00.001-04:002008-10-01T18:57:25.783-04:00FREE Mac Software WE ALL should have<div><span class="Apple-style-span" style="font-family: 'Lucida Grande'; font-size: 11px; ">These are the free software I think everybody should have. They are for Macs. But some of them run on Windows or Linux, too. </span><br /></div><div> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande; min-height: 13.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Magic Number Machine</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= a calculator, taking parenthesized expressions</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- iRed Lite</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= Apple Remote's utility, powerful & customizable</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Smultron</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= text editor for programmers or web developers</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Adium</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= multi-protocol chat. works with google talk, msn</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Pastor</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= password organizer, encrypted, fast & simple</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Alarm Clock (by Robbie Hanson)</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= alarm clock. can wake your mac up from sleep. can use music. has "easy wake" feature. </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Cyberduck</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= FTP client</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Deep Sleep</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= hibernating your mac</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Google Earth</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= satellite images of the world</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Transmission</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= BitTorrent client, fast, clean, and simple</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- Chicken of the VNC</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= remote desktop software. works with Windows.</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- GIMP</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= image editor</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- OnyX</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= access to mac's hidden features</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande">- KNOPPIX</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Lucida Grande"><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span>= bootable linux CD, to help your PC friends recover data when their Windows can't boot. </p> </div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-41330277193485915202008-08-12T11:51:00.004-04:002008-08-12T15:48:57.346-04:00วันแม่++<div><span class="Apple-style-span" style="font-family: 'Lucida Grande'; ">ผมใส่เสื้อขาว<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>กางเกงขาสั้นสีแดง<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>มีสายสีแดงสองสายคาดกางเกงไว้กับหัวไหล่เพื่อไม่ให้กางเกงหลุด<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>มองซ้าย<span style="font: 16.0px Georgia">-</span>มองขวา<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>เห็นเพื่อนๆ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ยืนอยู่ในแถวหน้ากระดานเดียวกัน<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ทุกคนใส่ชุดแบบเดียวกันหมด<span style="font: 16.0px Georgia"> .. </span>เอ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ไม่ใช่สิ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>พวกผู้หญิงใส่กระโปรง<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงต้องใส่กระโปรง<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ผู้ชายต้องใส่กางเกง<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>แต่ไม่เป็นไร<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ผมสงสัยที่สุดในวันนี้<span style="font: 16.0px Georgia"> ... </span>มองซ้าย<span style="font: 16.0px Georgia">-</span>มองขวา<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>อีกครั้ง<span style="font: 16.0px Georgia"> ... </span>เอ๊ะ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>เพื่อนผู้ชายคนอื่นมันมีโบสีแดงที่กระดุมคอเสื้อด้วยแฮะ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>แต่ทำไมผมไม่มี<span style="font: 16.0px Georgia">? </span>ผมลืมใส่มาหรือ<span style="font: 16.0px Georgia">? </span>หรือว่าผมทำหายไปไหนเมื่อไหร่<span style="font: 16.0px Georgia">? </span>หรือว่าโดยปกติผมก็ไม่เคยมีโบสีแดงอยู่แล้ว<span style="font: 16.0px Georgia">? </span>ผมไม่รู้<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ผมไม่เคยแต่งตัวเอง<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ผมไม่เคยกินข้าวเองโดยไม่มีคนป้อนหรือบังคับ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ผมก็เลยไม่รู้เลยว่าผมเคยมีโบสีแดงหรือไม่<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ตอนนี้รู้แต่ว่า<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>คนอื่นๆ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>มี<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>แต่ผมไม่มี<span style="font: 16.0px Georgia"> .. </span>แต่ไม่เป็นไร<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสงสัยมากที่สุดในวันนี้</span><br /></div><div> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ผมได้ยินเสียงคุณครูประกาศว่าอย่างนั้น<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>และครูก็พูดอะไรไปเรื่อยๆ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>และอยู่ดีๆ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>เพื่อนๆ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>คนอื่นๆ<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ก็ร้องเพลงเพลงนึงขึ้นมา<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>และผมก็ขยับปากร้องตาม<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ผมก็ร้องไปอย่างนั้นเองตามที่เคยได้ยินมา<span style="font: 16.0px Georgia"> </span>ร้องได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่มีใครถือสา เนื้อเพลงบอกว่า "แม่นี้มีบุญคุณ" อะไรสักอย่างนี่แหละ ผมไม่ได้ใส่ใจในความหมายของมัน รู้แต่ว่าตัวเองมีหน้าที่ร้องก็ร้องไป ผมและเพื่อนๆ ยืนร้องอยู่บนเวที ส่วนข้างล่างเวทีเป็นพวกครูๆ และคนแปลกหน้าเยอะแยะ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">สักพัก พอเพลงจบ ผมก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งสวัสดีคุณแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างล่าง สักพักเพื่อนอีกคนก็มองเห็นแม่ตัวเองและสวัสดีบ้าง บางคนแม่ก็วิ่งเข้ามาหน้าเวทีให้ลูกเข้าไปไหว้ใกล้ๆ บางคนก็โบกไม้โบกมือกันห่างๆ </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">"อ้าว! มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ???" ... นั่นแหละคือสิ่งที่ผมสงสัย!</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ที่แท้คนแปลกหน้าข้างล่างต่างเป็นเหล่า "แม่ๆ" ของลูกๆ นักเรียนอนุบาล 1 รร.นารานุบาล (จ.ชลบุรี) ซึ่งมาร่วมชมการร้องเพลง "ค่าน้ำนม" ที่ผมและเพื่อนๆ ได้ร้องไป ทีแรกผมนึกว่าแม่ทุกคนคงถูกเชิญมา จึงมองหาแม่ตัวเองบ้าง มองไปทางโน้นก็ไม่เจอ ทางนี้ก็ไม่เจอ มองหายังไงยังไงก็หาไม่เจอ จึงนึกไปว่า โอโห คุณแม่(ของเรา)ใจร้ายจังเลย คุณแม่คนอื่นเขามากันหมด แต่ทำไมคุณแม่ถึงไม่มา?!??!??!?</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">... ง่าๆๆ เง่อๆๆ เฮ่อๆๆ ฮือๆๆ ... แงๆๆ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมร้องไห้</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ในวันแม่แห่งชาติ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้ในวันแม่แห่งชาติเช่นเดียวกัน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ใช่แล้ว! ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะซาบซึ้งในพระคุณแม่ ผมเด็กเกินไปที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้ ผมร้องไห้เพราะโกรธคุณแม่ต่างหากที่ไม่มาร่วมงาน .. ตอนเด็กๆ ผมมักจะร้องไห้เสมอๆ ในทุกๆ คร้ังที่ไม่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เมื่อใดที่ผมโดนคุณแม่บังคับป้อนข้าว ผมร้องไห้, เมื่อใดที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอคุณแม่ในระยะเอื้อมมือถึง ผมร้องไห้, เมื่อใดที่อยากได้ของเล่นแล้วคุณแม่ไม่มีสตางค์ซื้อให้ ผมร้องไห้, เมื่อใดก็ตามที่ผมอารมณ์ไม่ดี แล้วไม่รู้จะโทษใครดี ผมโทษคุณแม่ แล้วผมก็ร้องไห้!</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">วันนั้นคุณแม่ไม่ได้มาร่วมงานวันแม่ที่โรงเรียนนารานุบาลก็เพราะคุณแม่ต้องขายของที่ริมหาดบางแสนทุกวัน เพื่อหาเงินเลี้ยงลูกสามคน และเพื่อจ่ายค่าเทอมโรงเรียนอนุบาลให้กับผม คุณแม่ต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นวันแม่ วันลอยกระทง วันปีใหม่ หรือวันเกิดคุณแม่ คุณแม่ก็ไม่เคยได้หยุด</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">- - - - - </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมใส่เสื้อสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากี เสื้ออยู่ในกางเกง คาดเข็มขัดสีน้ำตาลหัวทองเหลือง ผมยืนเป็นคนที่สามจากหัวแถวนักเรียนชาย ผมเป็นนักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนจันทรวิทยา (เขตคลองสาน, กรุงเทพฯ) ที่เกือบจะตัวเล็กที่สุดในห้อง</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ปีต่อมา ผมเป็นเด็ก ป.4, ปีต่อมาเป็นเด็ก ป.5, ปีต่อมาเป็นเด็ก ป.6</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">วันที่ 12 สิงหาคม ของปี 34, 35, 36 เป็นฉากเดียวกันทั้งสามปี</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ทุกคนร้องเพลง "ค่าน้ำนม", มีคุณครูพูดสอนถึงพระคุณแม่, มีเพื่อน/รุ่นพี่ นักเรียนออกไปอ่านกลอนวันแม่ อ่านเรียงความเรื่องพระคุณแม่, มีพระอาจารย์เทศนาสอนเรื่องพระคุณแม่ .. บางทีก็มีการให้นักเรียนหลับตาสงบนิ่ง ขณะที่มีการเล่าเรื่องตัวอย่างของแม่ที่เสียสละ อดทนลำบากเลี้ยงลูกหลายคน เรื่องของลูกที่ไม่ค่อยจะเอาไหน แต่พอโตขึ้นมาก็สำนึกในพระคุณแม่ ...ในวันที่สายเกินไป </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">หลายคนร้องไห้</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">บางคนปล่อยโฮต้ังแต่ยังไม่เริ่มบรรยาย .. ผมมองว่าเพื่อนกลุ่มนี้คงจะ 1) มีจินตนาการส่วนตัวที่สูงมาก ประกอบกับจิตใจที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง หรือไม่ก็ 2) ผิดคิว (อย่างแรง) </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">บางคนก็ยืนนิ่ง ทีแรกทำท่าเบื่อๆ เหมือนโดนบังคับให้ฟัง แต่พอฟังไปสักพักก็เริ่มคลายทิฏฐิ มีน้ำตาคลอเบ้า และเพิ่มปริมาตรน้ำตาขึ้นเรื่อยๆ พอจบเรื่อง (ซึ่งมักจบอย่างเศร้าๆ) ก็ปล่อยโฮออกมาเต็มพิกัด</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">บางคนก็ฟังไปเรื่อยๆ โดยยังไม่มีอาการอะไร แต่พอเรื่องราวพาดเกี่ยวไปตรงหรือเฉียดกับชีวิตส่วนตัวของตนเอง ก็ร้องไห้ฟูมฟาย เหมือนกับว่าโดนจี้จุด</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">นักเรียนแต่ละคนมีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สังเกตได้ก็คือว่า พอเสร็จสิ้นจากการบรรยายทั้งปวงแล้ว แทบทุกคนจะต้องทำหน้าซึมๆ และมีร่องรอยของน้ำตาบนใบหน้าไม่มากก็น้อย บางคนก็เห็นแค่คราบน้ำตาซึมๆ ที่ขอบตา บางคนก็เละเทะเต็มใบหน้า บางคนก็มีขี้มูกด้วยเพราะว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกันเลยทีเดียว</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">แต่นักเรียนส่วนน้อยบางคน จะด้วยความขวางโลก ความท้าทาย ความไม่สำนึกพระคุณแม่ หรือด้วยความไร้จิตใจอย่างไรก็แล้วแต่ กลับมีสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีอาการซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแต่อย่างใด</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมเป็นหนึ่งในคนกลุ่มน้อยเหล่านั้น</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องร้องไห้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องมาบอกกันทำไมว่าแม่มีบุญคุณอย่างนั้นอย่างนี้ ในเมื่อผมรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคุณแม่ของผมเองทำสิ่งต่างๆ ให้กับผมมากกว่าแม่ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเรื่องเล่าใดๆ ทั้งสิ้น, เสียสละและเหนื่อยยากมากกว่าใครในโลกนี้ทั้งสิ้น, และเป็นผู้ให้โดยบริสุทธิ์ใจไม่หวังอะไรตอบแทนทั้งสิ้น ... เรื่องแบบนี้ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้อยู่แก่ใจได้เองมานานแล้ว ไม่น่าจะต้องมีการบอกกันเป็นคำพูด เป็นเรื่องยากที่อยู่ดีๆ ผมจะรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใดในเรื่องที่ผมรับรู้และระลึกถึงมาโดยตลอดทุกวันอยู่แล้ว</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">แต่บางครั้ง ผมก็ต้อง(พยายาม)ไหลตามน้ำ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมเข้าใจว่าคงไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำลายบรรยากาศ ผมรู้ว่าคงจะเท่ไม่น้อยหากผมจะร้องไห้เบาๆ ไปกับเขาบ้างเหมือนกัน ผมจึงพยายามสร้างอารมณ์ร่วมโดยการตั้งใจฟังและจินตนาการตามไปทุกฉากทุกตอนอย่างใกล้ชิด บางครั้งเรื่องราวก็สะกิดใจให้ซาบซึ้งได้จริงๆ แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้น้ำตาไหลได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ครั้นพอคิดถึงเรื่องตัวเองมันก็ยังไม่รู้สึกเศร้า เพราะการที่ระลึกถึงบุญคุณของคุณแม่ตัวเองนั้นมันทำให้รู้สึกดีใจ ดีใจที่เรามีแม่ที่ดีอย่างนี้ ที่เหนื่อยเพ่ือลูกขนาดนี้ ดีใจที่แม่สอนเราให้ขยันเรียน สอนให้พูดจาไพเราะกับผู้ใหญ่ สอนให้ซื่อสัตย์ สอนให้คิดเลขเป็น สอนให้อ่านภาษาไทยเป็น ฯลฯ ดังนั้นเราต้องตอบแทนพระคุณแม่ แต่ตอนนี้จะทำอะไรได้บ้างล่ะ? ก็คงได้แค่ขยันเรียน (ก็ขยันแล้วนะ) ไม่เกเรหนีเที่ยว (ก็ไม่มีปัญญาจะไปเที่ยวไหนอยู่แล้ว หลงทางประจำ) ประหยัดเงิน (ก็ประหยัดสุดๆ แล้วเพราะวันๆ ไม่ได้ใช้สตางค์เลย) .. ก็เป็นอันว่าตอนนี้ทำดีที่สุดแล้ว ลองวางแผนเผื่ออนาคตดู เราคงต้องเรียนให้สูงๆ หางานดีๆ ทำงานให้รวยๆ เอาเงินมาให้แม่ แม่จะได้พัก จะได้สบาย แต่ที่สำคัญกว่าเงินคือเราต้องซื่อสัตย์ ต้องมีสัจจะ เพราะเรื่องนี้แม่สอนไว้เสมอ แม่สอนโดยการทำตัวเป็นตัวอย่าง</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">... อ้าว! ฮึ้ย! คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว มันก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เป็นเรื่องที่ต้องยึดถือปฏิบัติ แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะรู้สึกเศร้าจนร้องไห้ ... เพื่อนๆ เขาร้องไห้กันใหญ่แล้ว เราจะทำอย่างไรดี เราจะต้องร่วมสร้างบรรยากาศนี้ให้ได้ เราต้องหาวิธี</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมหาว</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">... โดยพยายามหุบปาก ทุกครั้งที่หาวน้ำตาจะไหลออกมานิดนึง พอหาวหลายครั้งเข้า ตาก็จะชุ่มๆ จมูกก็จะมีสีแดงเรื่อๆ คล้ายกับว่าเพิ่งร้องไห้มาเบาๆ เพราะซาบซึ้งในพระคุณแม่ พอเป็นพิธี </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">เพื่อนๆ ก็สามารถมองกันได้อย่างไม่เคอะเขิน ทุกคนชื่นชมในความเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนของเพื่อนๆ ทุกคน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">เป็นอันเสร็จพิธี</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">- - - - - </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีน้ำตาล ไม่ใส่เข็มขัด (เพราะอ้วนเกินไปจนพุงคับกางเกงแล้ว) ผมนั่งอยู่บนโซฟาสีขาว มองไปที่ทีวีจอแบนเครื่องสีดำซึ่งแขวนอยู่บนผนังห้องด้านหน้า</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">คุณแม่นอนอยู่บนเตียงข้างๆ คุณแม่ใส่เสื้อฟ้า กางเกงฟ้า ที่ขาเตียงมีล้อ บนเสื้อผ้าคุณแม่มีตรา "รพ.กรุงเทพพัทยา" ที่แขนคุณแม่มีสายน้ำเกลือ ในขวดน้ำเกลือมียาปฏิชีวนะและยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">กว่า 26 ปีที่คุณแม่เลี้ยงผมมา และกว่า 55 ปีที่คุณแม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกายมาโดยตลอด ทำให้คุณแม่ต้องผ่านมลภาวะมากมาย ผ่านความเครียดนานับประการ ผ่านการทานอาหารที่อาจมีสารพิษตกค้าง ผ่านสารเคมีอันตรายจากการดำรงชีวิตอย่างเร่งรีบ ที่ต้องดูแลลูกจนไม่มีเวลาดูแลตนเอง ... คุณแม่เป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ คุณหมอตรวจพบเมื่อ 5 เดือนกว่าๆ ที่แล้ว คุณแม่รับการรักษามาเรื่อยๆ ด้วยการผ่าตัดตามด้วยยาเคมีบำบัดชนิดใหม่ล่าสุด ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">คุณแม่ต้องรีบมาโรงพยาบาลเมื่อ 4 วันที่แล้วเนื่องจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ อันเป็นผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด ตอนนี้คุณแม่อาการดีขึ้นแล้ว แต่ก็หมดเรี่ยวแรง เบื่ออาหารมาก มือและแขนก็พรุนไปหมดจากการโดนเจาะเลือดและเจาะน้ำเกลือ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมนั่งดูรายการต่างๆ ทางโทรทัศน์ มีผู้คนออกมาพูดถึงพระคุณแม่กันมากมาย มีคนมาร้องเพลง "ค่าน้ำนม", เพลง "อิ่มอุ่น", และเพลงสำหรับแม่ต่างๆ มากมาย บางคนพูดไปร้องไห้ไป ร้องเพลงไปร้องไห้ไป เล่าเรื่องแม่ของตัวเองไป ก็ร้องไห้ไป</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่จะรู้สึกว่ามีน้ำตาคลอเบ้า</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องพยายามสร้างอารมณ์เศร้าอะไรอีกแล้ว ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องอาศัยใครให้มาบอกแล้วว่าแม่มีพระคุณกับผมอย่างไร ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ผมมีแทบทุกอย่างที่ผมต้องการ และคนที่ให้ผมมาก็คือคุณแม่ ... ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องการให้ใครมาบอกผมอีกแล้วว่าการเห็นคุณแม่ตัวเองเจ็บป่วยนั้น มันเจ็บปวดขนาดไหน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">ผมทราบและรู้สึกดีว่าคุณแม่คนที่อยู่ข้างๆ ผมนี้ สำคัญและยิ่งใหญ่สำหรับผมสักเพียงไหน </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">วันแม่มีปีนี้ผมก็ยังคงไม่ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะไม่ซาบซึ้งหรือไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวอะไร แต่เป็นเพราะความรู้สึกนั้นมันสูงเป็นล้นพ้น จนผมร้องไม่ออกต่างหาก</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande">วันแม่ปีนี้ ผมอยากให้คุณแม่ผมหายป่วยครับ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Lucida Grande; min-height: 18.0px"><br /></p> </div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-2621453884271895202008-08-08T10:16:00.003-04:002008-08-08T10:22:37.128-04:00Mom admitted in Bangkok Hopital Pattaya<div><span class="Apple-style-span" style="color: rgb(153, 51, 0);">/* เนื่องจาก free wifi ที่โรงพยาบาลให้ใช้เว็บได้อย่างเดียว ไม่สามารถใช้ FTP ได้ ทำให้ไม่สามารถอัพเดตเว็บข่าวคุณแม่ที่ suwannatat.com/lek ได้โดยสะดวกในขณะนี้ จึงนำข่าวมาแปะไว้ที่นี่ไปพลางก่อน */ </span></div><div><br /></div><div>8 August 2008</div><div><br /></div><div>เมื่อวานนี้คุณแม่อ่อนเพลีย นอนทั้งวัน ทานอาหารได้น้อย ตอนหกโมงเย็นมีไข้ 37.75 องศาเซลเซียส ทานยา tylenols สองเม็ด หลังจากนั้นสักพักลองวัดไข้ใหม่พบว่าไข้ลด (ต่ำกว่า 37) เวลาหัวค่ำคุณแม่มีอาการจุกท้อง ปวดท้องมาจนถึงตอนเช้า </div><div><br /></div><div>10:45 am วันนี้คุณแม่เพลียมาก ตื่นแล้วแต่ลุกจากเตียงไม่ไหว บ่นว่าจุกท้องมาทั้งคืน ไม่ยอมทานอะไรเลย วัดไข้ได้สูงถึง 39.45 องศาเซลเซียส! วัดใหม่อีกครั้งได้ 39.12 นับว่าเป็นไข้ที่สูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โทรปรึกษาพยาบาลที่ตึกหลิ่มซีลั่นชั้นบน รพ.จุฬาลงกรณ์ ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที </div><div><br /></div><div>11:00 am ทานยา tylenols สองเม็ด เตรียมตัวไปโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา </div><div><br /></div><div>11:45 am คุณแม่ไม่อยากไปโรงพยาบาล บอกว่าหายแล้ว จึงให้ทาน Ensure ไปหนึ่งแก้ว (เป็นมื้อแรกของวันนี้) ลองวัดไข้ดูอีกครั้ง พบว่าไข้ยังสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส จึงรีบมาที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา คุณหมอห้องฉุกเฉินส่งต่อให้หมออายุรศาสตร์ พ.ญ. สุมาลี คิวเจริญ คุณหมอสั่งตรวจเลือด CBC, เพาะเชื้อจากเลือด, ตรวจเอกซ์เรย์ปอด, ตรวจปัสสาวะ จากนั้น admit ที่ตึกใหม่ ชั้น 10 ห้อง 10518 ให้น้ำเกลือ พยาบาลบอกว่าจะเฝ้าดูปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไปกับปริมาณปัสสาวะโดยให้ดื่มน้ำจากเหยือกที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น และให้ปัสสาวะลงในภาชนะที่เตรียมไว้เท่านั้น </div><div><br /></div><div>3:45 pm ทานยาลดไข้เม็ดกลมสีเหลือง สองเม็ด + ยาอื่นๆ (ยาที่มีอยู่เดิม) พยาบาลบอกว่าปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ (5 หมื่นกว่าๆ) ส่วนจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง บ่งบอกถึงการติดเชื้อ (มาทราบภายหลังจากแพทย์ว่าอ่านผลผิด (ดูด้านล่าง)) คุณแม่มีอาการหนาวสั่นมาก </div><div><br /></div><div>4:10 pm คุณแม่นอนหลับ หยุดสั่นแล้ว </div><div><br /></div><div>4:35 pm โทรไปที่หลิ่มซีลั่นบนอีกครั้ง พยาบาลบอกว่าโดยปกติการให้ยาปฏิชีวนะโดยการฉีดจะต้องนอนโรงพยาบาล 3-5 วัน แนะนำให้โทรปรึกษาหมอที่ว่องวานิช ชั้น 4 อีกครั้งก่อนมาโรงพยาบาลในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ </div><div><br /></div><div>4:40 pm โทรไปที่แผนกมะเร็งวิทยา ชั้น 4 ตึกว่องวานิช รพ.จุฬาลงกรณ์ เพื่อแจ้งข่าว พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าให้รักษาที่ รพ.กรุงเทพพัทยา ไปก่อนจนกว่าจะแข็งแรงดีแล้วจึงโทรไปทำนัดใหม่ที่ รพ.จุฬาฯ ส่วนที่นัดไว้วันจันทร์นี้คาดว่าคงจะไปไม่ทัน คงจะต้องยกเลิกนัดไปก่อน </div><div><br /></div><div>5:15 pm คุณแม่เพิ่งจะทานข้าวมื้อแรก เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่น้ำ (ซื้อจากข้างโรงเจ) ทานได้น้อย จากนั้นทานยาอมแก้เจ็บคอและฆ่าเชื้อเม็ดสี่เหลี่ยมสีเหลือง (Sigatricin Lozenge Tablet ประกอบด้วย Tyrothricin 1 mg, Benzocaine 1 mg, Benzethonium chloride 0.5 mg) </div><div><br /></div><div>5:40 pm พญ.สุมาลี แวะมาเยี่ยม คุณหมอบอกว่าจริงๆ แล้วคุณแม่มีเม็ดเลือดขาวน้อยมาก ราวๆ 1600 (ต่อไมโครลิตร?) ค่าปรกติต้องอยู่ที่ 4-8 พัน ดังนั้นคุณหมอจะให้ยาปฏิชีวนะโดยการฉีด ส่วนอาการจุกท้องซึ่งทุเลาลงแล้วน่าจะเกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับ สามารถใช้ยารักษาได้ ไม่น่ากังวลมากนัก </div><div><br /></div><div>6:00 pm คุณอาร์ท (คุณพรรณิภา พยาบาลวิจัยซึ่งดูแล case ของคุณแม่ที่ รพ.จุฬาฯ) โทรมาสอบถามข่าว ได้แจ้งข่าวไปแล้ว คุณอาร์ทกำชับว่าเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วให้ขอสำเนาแฟ้มประวัติรวมทั้งผลเลือดมาด้วย และให้โทรไปเพื่อทำนัดใหม่ </div><div><br /></div><div>6:15 pm คุณแม่จุกท้องมากอีกครั้ง พยาบาลนำยาเม็ดมาให้ </div><div><br /></div><div>7:00 pm คุณแม่มีอาการหนาวสั่น ตอนนี้มีขวดน้ำเกลือสองขวด พี่นัทบอกว่าพยาบาลมาฉีดยาแก้อักเสบให้แล้ว คุณแม่ห่มผ้าห่มสองผืนพร้อมแผ่นทำความร้อน </div><div><br /></div><div>8:00 pm พยาบาลแวะมาปูที่นอนให้ญาติ คุณแม่ยังคงหนาวสั่น </div><div><br /></div><div>9:00 pm คุณแม่ตื่นนอน ทานน้ำ 1 แก้ว ไม่หนาวสั่นแล้ว ไม่มีอาการจุกเสียดแล้ว คุณแม่บอกว่ารู้สึกสบายดี </div><div><br /></div><div>(...หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป...)</div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-35365443693881746472008-07-11T15:02:00.000-04:002008-07-11T15:03:05.834-04:00Say No to ปลาร้าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของปลาดิบอย่างซาชิมิ แต่ยังไม่เคยทานปลาดิบอีกประเภท คือปลาร้า และปลาส้ม เนื่องจากรู้สึกไม่ถูกชะตากับกลิ่นของมันสักเท่าไหร่ และสิ่งที่ผมได้อ่านเมื่อวานนี้ก็ทำให้ผมดีใจที่ยังไม่เคยทานปลาร้าหรือปลาส้ม และตั้งใจไว้ว่าคงจะไม่ทดลองทานอีกเป็นแน่<br /><br />ผมได้อ่านบทความของ พล.ต.รศ.น.พ. ปริญญา ทวีชัยการ (โอโฮ ตำแหน่งของท่านเหลือกินจริงๆ) ในแผ่นพับ M Care (พิมพ์โดยบริษัท Merck) ก็ทำให้ตกใจกับสถิติบางประการเกี่ยวกับการตายจากโรคมะเร็ง มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่ทำให้คนตายมากเป็นอันดับสองของโลก แต่ในเมืองไทยนั้นเป็นอันดับสามรองจากมะเร็งตับ นั่นเพราะว่าคนไทยเป็นโรคมะเร็งตับกันมาก โดยเฉพาะในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br /><br />ทำไมคนไทยจึงเป็นมะเร็งตับกันมาก? ผมหยิบหนังสือ "รู้ทันโรคตับ รู้ลึกเรื่องเปลี่ยนตับ" (โดย น.พ.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ และคณะ, พิมพ์ครั้งที่ 3) ขึ้นมาดู ที่หน้า 25 เขียนว่ามะเร็งตับนั้นมีหลายชนิด ชนิดหนึ่งคือโรคมะเร็งท่อน้ำดี (cholangiocarcinoma) พบได้ "บ่อยมาก" ในคนไทยภาคอีสานและเหนือ เพราะการกิน "ปลาร้า ปลาส้ม" ทำให้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ พยาธิเติบโตในท่อน้ำดี ทำให้อักเสบเรื้อรังและก่อเกิดเป็นมะเร็ง<br /><br />ฟังดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก แต่ความจริงที่น่ากลัวกว่านั้นอยู่ในหน้า 67: โรคมะเร็งตับในบางกรณีสามารถรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนตับ แต่จะต้องเป็นมะเร็งตับปฐมภูมิ (hepatoma) เท่านั้น จะเป็นมะเร็งท่อน้ำดีไม่ได้ ดังนั้นถ้าใครทานปลาร้า ปลาส้ม เข้าไป แล้วเกิดโรคพยาธิใบไม้ในตับ เรื้อรังจนกลายสภาพเป็นมะเร็งขึ้นมา ก็จะต้องหาทางรักษาแบบอื่น คุณหมอไม่รับเปลี่ยนตับให้แม้จะหาผู้บริจาคได้ก็ตามmockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-75475471079811433272008-07-08T13:54:00.000-04:002008-08-08T10:19:06.672-04:00 <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><U><SPAN LANG="zxx">อาลัยอาแต๋ว</SPAN></U></P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">โดย ผนวกเดช สุวรรณทัต </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ม็อค</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๑</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="margin-bottom: 0in"><BR> </P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๑</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">คืนนี้ผมนั่งเขียนคำอาลัยอยู่ในบ้านของอาแต๋วที่ท่าพระ </SPAN> </P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ความจริงแล้วผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ในวันนี้ ความจริงแล้วผมควรจะอยู่ที่พัทยาและมาพบกับอาแต๋วตอนเย็นวันพุธหน้าตามที่เรานัดกัน ความจริงแล้วผมควรจะกำลังดำเนินการจัดหาเครื่องสังฆทานเก้าชุดเพื่อเตรียมงานบุญวันเกิดอาแต๋ว ที่เราตกลงกันแล้วว่าจะจัดขึ้นในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ ความจริงแล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ในขณะนี้ไม่ควรเป็นการเขียนบทความอำลาอาลัย แต่ควรเป็นการออกแบบการ์ดวันเกิดงามๆ สักแผ่น และกลอนวันเกิดฮาๆ สักบทสองบท อย่างที่ผมได้เคยทำให้อาแต๋วในปี ๒๕๔๖ แล้วก็ว่างเว้นมาหลายปี </SPAN> </P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">แต่ความจริงก็คือความจริง และความจริงก็คืออาแต๋วจากผมไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">บ้านหลังนี้ ที่ซึ่งผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ เป็นสถานที่แห่งความทรงจำอันยาวนาน บ้างครั้งผมเรียกมันว่า “บ้านท่าพระ” บางครั้งผมเรียกมันว่า “บ้านอาแต๋ว” เป็นที่ที่ทำให้ผม “เติบโต” และ “เรียนรู้” สิ่งต่างๆ มาได้ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กบางแสนซึ่งเพิ่งเข้า กทม</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>. - </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จนกระทั่งเป็นเด็ก กทม</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>. </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">เต็มตัว </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>- </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จนกระทั่งไม่เป็นเด็ก กทม</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>. </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">อีกต่อไปเพราะต้องไปศึกษาที่อื่น </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>- </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">และจนบัดนี้ก็เป็นเด็กกึ่งพัทยา</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>/</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">กึ่ง กทม</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.​ </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">มาได้ </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>4 </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">เดือนแล้ว โดยไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนในชีวิตของผม “บ้านอาแต๋ว”​ ก็เป็นที่พักพิงอันอบอุ่น และอาแต๋วก็ได้ให้การดูแลช่วยเหลือ และให้คำแนะนำอันมีค่ากับผมผู้เป็นหลานอยู่เสมอมาโดยตลอด</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด วันนี้บ้านท่าพระไม่มีอาแต๋วอยู่แล้ว</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">แต่ในบ้านนี้และในจิตใจของผมผู้ซึ่งเคยอยู่บ้านนี้ จะมีอาแต๋วตราตรึงอยู่ในความทรงจำตลอดไป</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ความทรงจำนี้แม้ไม่อาจเล่าได้หมด แต่ก็คงไม่พ้นวิสัยของความพยายาม</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><BR> </P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๒</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมงงกับประโยคที่คุณพ่อพูด พอคุณพ่อพูดเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปในห้องทำฟันของคลินิกหน้าปากซอย จรัลฯ​ ๓ ทันที พี่โม่ผู้ซึ่งเดินมากับผมอธิบายให้ผมฟังว่าคุณพ่อสั่งให้ผมและพี่โม่เดินเข้าไปในซอย ๑ ตามแผนที่ที่คุณพ่อวาดให้ แล้วไปหาบ้านอาแต๋วให้พบให้ได้ จากนั้นก็จงทำ “ภารกิจ” ต่อไปให้สำเร็จ</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมไม่ทราบว่าภารกิจนั้นคืออะไร ผมยังเด็กมาก และผมก็ไม่ทราบด้วยว่า “อาแต๋ว” คือใคร</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">เดินไปสักพักพี่โม่ก็พาผมมาอยู่ที่หน้า “บ้านอาแต๋ว” กดกริ่งหนึ่งที แล้วก็เข้าไปสวัสดีทักทายผู้คนข้างในซึ่งผมไม่รู้จัก พี่โม่พูดจาสองสามคำ ได้ความว่า “คุณพ่อให้มายืมเงินค่าขนมค่ะ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>!” </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ไม่นานอาแต๋วก็ควักแบงก์ร้อยให้สองใบ</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">นั่นคือครั้งแรกในความทรงจำของผมที่ได้มา “บ้านอาแต๋ว” และยังได้รบกวนอาแต๋วอีกด้วย</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">หลังจากนั้นก็มีอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ผมได้มาบ้านหลังนี้และได้รบกวนคุณอาท่านนี้</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="margin-bottom: 0in"><BR> </P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๓</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมเห็นโจ๊กอยู่ในหม้อ หม้อวางอยู่บนโต๊ะทานข้าว โต๊ะทานข้าวอยู่ในครัว ครัวอยู่ข้างห้องน้ำ ครัวและห้องน้ำอยู่ในบ้านอาแต๋ว</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมไม่ทันได้สังเกตว่าโจ๊กนั้นเป็นโจ๊กชนิดไหน ทำเสร็จแล้วหรือไม่ และทำไว้ให้ใคร แต่สันนิษฐานว่าอาแต๋วคงจะตื่นแต่เช้ามืด ทำโจ๊กไว้ให้ผมและพี่โม่ก่อนจะเดินทางไปเยี่ยมคุณแม่ของผมที่ รพ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จุฬาลงกรณ์</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">อาแต่๋วเคยตื่นมาทำอาหารเช้าให้ผมแบบนี้อยู่หลายครั้ง โดยปกติแล้วผมก็จะทานเพราะรู้ว่าอาแต๋วตั้งใจทำไว้ให้ และอาแต๋วก็ต้องเหนื่อยมาก </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">แต่ก็ห้ามอาแต๋วไม่ได้</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>) </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">แต่เช้าวันนั้นมีเหตุเร่งด่วนเนื่องจากผมตื่นสาย และผมเองก็นัดคุณหมอไว้เวลา ๙</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๓๐ น</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>. </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จึงไม่ได้ทานโจ๊กหม้อนั้น</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมมารู้ทีหลังว่าโจ๊กนั้นยังทำไม่เสร็จเพราะอาแต๋วเหนื่อยจัด หัวใจเต้นเร็วมาก</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">เช้าวันนั้นก็คือวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๑</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">คืนก่อนหน้าวันนั้นผมพูดคุยกับอาแต๋วเรื่องงานวันเกิดอาแต๋วในเดือนหน้าที่วัดหนัง </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">วัดวิจิตรการนิมิตร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>) </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">โดยผมจะจัดหาเครื่องสังฆทาน ๙ ชุด ส่วนที่เหลืออาแต๋วบอกว่าทางวัดจัดการให้แล้ว นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมคุยกับอาแต๋วก่อนเข้านอน</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ก่อนออกจากบ้านผมลาคุณอาไพฑูรย์ คุณอาบอกว่าอาแต๋วอาการไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้ทุเลาลงบ้าง บ่ายวันนี้จะไปหาหมอตามนัด พอได้ยินว่ามีแผนจะไปหาหมออยู่แล้วผมก็สบายใจ และไม่ได้เข้าไปลาอาแต๋วซึ่งนอนอยู่ในห้องเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวน ผมคิดว่าทุกอย่างคงจะเรียบร้อยเหมือนทุกๆ ครั้ง แล้วผมก็นั่งรถออกจากบ้านอาแต๋วไป</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">เสร็จธุระที่ รพ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จุฬาลงกรณ์ ผมก็กลับบ้านพัทยา พอถึงพัทยาได้ไม่นานก็มีโทรศัพท์จากพี่ก้อมาแจ้งว่าอาแต๋วเสียชีวิตแล้ว</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมรู้สึกใจหายเหลือเกิน</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><BR> </P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๔</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">วันนี้ผมรับหน้าที่เป็นตัวแทนของคุณพ่อ </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ซึ่งเป็นพี่ของอาแต๋ว</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>), </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">คุณแม่ </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ซึ่งกำลังอ่อนเพลียจากผลข้างเคียงของยา</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>), </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">และพี่นัท พี่โม่ </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ผู้กำลังดูแลคุณแม่</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>) </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">มาร่วมงานบุญของอาแต๋ว ทุกครั้งที่มองไปเห็นโลงศพสีขาวและเห็นรูปของอาแต๋วตั้งอยู่ตรงนั้น ผมก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยกว่าเมื่อห้าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์ของคุณพ่อผมเอง</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมานี้ผมมานอนที่บ้านอาแต๋วทุกสัปดาห์ คุณแม่ของผมไม่สบาย และมีแผนการรักษาที่ ร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">พ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จุฬาลงกรณ์ พออาแต๋วทราบดังนั้นก็รีบโทรศัพท์ไปหาทุกวัน แล้วบอกว่าให้ใช้บ้านอาแต๋วนี้เป็นฐานที่มั่น ระหว่างที่เข้ามารอหมอ ก็ขอให้คุณแม่ของผมมาพักที่บ้านอาแต๋ว และระหว่างที่คุณแม่นอนโรงพยาบาล ก็ขอให้ลูกๆ มานอนพักผ่อนที่นี่ ในสัปดาห์แรกๆ ผมเองก็เกรงใจมากเหลือเกิน แม้จะคุ้นเคยกันแต่ก็ไม่กล้ามารบกวนเพราะทราบอยู่่ว่าอาแต๋วไม่สบาย แต่ในระยะหลังก็ยอมตามนั้น ทำให้การรับการรักษาราบรื่นขึ้นมาก</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">คุณแม่ของผมและอาแต๋วคุ้นเคยกันมานาน บัดนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมการต่อสู้ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนเมนูอาหาร แลกเปลี่ยนไอเดียการทำบุญ อาแต๋วทานเก่ง เที่ยวเก่ง และคุยเก่ง เวลาที่ได้พูดคุยดูท่าทางอาแต๋วจะมีความสุข โดยเฉพาะการได้คุยเรื่องบุญกุศล เช่นเรื่องการไถ่ชีวิตโคกระบือซึ่งอาแต๋วชวนคุณแม่ การไปไหว้หลวงพ่อโสธรซึ่งคุณแม่ชวนอาแต๋ว และล่าสุดเรื่องงานทำบุญวันเกิด ซึ่งอาแต๋วเอ่ยในวันพุธที่ ๒๕ มิ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ย</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>. </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ว่า “ทีแรกฉันนึกว่าจะอยู่ไม่ถึงวันเกิด แต่ไปๆ มาๆ ดูท่าทางมันจะอยู่ถึงซะอย่างนั้น ก็เลยคิดว่าจะทำบุญใหญ่ที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ญาติๆ ผู้ล่วงลับด้วย”​</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">น่าเสียดายที่อาแต๋วจะไม่ได้อยู่กับพวกเราในงานวันเกิดเดือนหน้า</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">น่าเสียดายที่อาแต๋วจะไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของหลานๆ ในอนาคต ทั้งความสำเร็จของผมซึ่งเป็นหลานอา และความสำเร็จของ มีน มายด์ มิว มะหมี่ ซึ่งเป็นหลานยาย</SPAN></P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><BR> </P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๕</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมมีวันนี้ได้ ยืนอยู่ตรงนี้ได้ มีโอกาสในการศึกษาและการทำงานอย่างนี้ได้ ก็เพราะมีครอบครัวที่เข้มแข็ง มีคนรอบข้างคอยสนับสนุน มีตัวอย่างที่ดีให้ก้าวตาม และมีแผ่นดินไทยให้ยืนหยัดและเติบโต</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">อาแต๋วเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จของผมในทุกๆ ด้าน</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">ผมมีครอบครัวที่เข้มแข็ง โดยมีอาแต๋วเป็นญาติผู้คอยดูแลผมตลอด เมื่อผมย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ใหม่ๆ ตอนที่ยังเรียน ป</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๓ ผมพักอยู่กับคุณย่าที่ รร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จันทรวิทยา อาแต๋วให้ผมมานอนที่บ้านอาแต๋วสลับกับบ้านคุณย่า ผมก็มาบ่อย เพราะว่าบ้านอาแต๋วมีทีวีจอใหญ่ มีเครื่องเกมให้เล่น </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">แต่มีเงื่อนไขว่าต้องทำการบ้านเสร็จก่อน</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>) </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">มีกบเหลาดินสอแบบคันหมุน </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ซึ่งสมัยนั้นผมถือว่าเป็นของที่หรูหรามาก</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>) </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ในระหว่างนั้นอาแต๋วได้ดูแลและอบรมขัดเกลาผมในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ซึ่งเมื่อผมนั่งบนเก้าอี้แล้วเอื้อมไม่ถึงอาหาร อาแต๋วก็เอาสมุดโทรศัพท์มาวางเป็นเบาะเสริมให้</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)​,​ </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">เรื่องการพูดตะโกนเสียงดัง</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>,​ </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">การแสดงออกอันเหมาะสม</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>, </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">การพูดคุยกับผู้ใหญ่</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>, </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">การสวดมนต์</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>, </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">กิริยามารยาทต่างๆ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>,​ </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ฯลฯ และในทางวิชาการ อาแต๋วก็ให้พี่เก๋เป็นผู้สอนภาษาอังกฤษผมด้วย โดยทุกวันผมจะเรียนศัพท์อย่างน้อย ๕ คำ คำแรกที่ผมเรียนคือคำว่า “</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>d-e-s-k </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">เดสก์ โต๊ะนักเรียน” ผมยังจำได้แม่น</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">อาแต๋วเป็น “คนรอบข้าง”​ ซึ่ง​ “คอยสนับสนุน”​ ผมอยู่เสมอ เมื่อครั้งผมจบ ป</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๖ อาแต๋วก็จัดแจงเรื่องการสมัคร รร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">สวนกุหลาบฯ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>, </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">รร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">สาธิตบ้านสมเด็จฯ​</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>,​ </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">และ รร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ฤทธิณรงค์รอน ให้ และยังได้คอยร่วมลุ้นผลสอบในคืนวันประกาศผลสอบ รร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">สวนกุหลาบฯ​ กับผมด้วย </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ลุ้นทางโทรศัพท์ โดยในคืนวันนั้นผมพักที่บ้านคุณย่าน้าจี๊ด</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>) </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">เมื่อครั้งที่ผมได้ไปแข่งโอลิมปิกวิชาการที่ประเทศจีนอาแต๋วก็พาน้องมายด์ไปส่งผมที่ดอนเมือง เมื่อผมไปแข่งขันเขียนโปรแกรมที่ฟิลลิปปินส์อาแต๋วก็พาน้องมีนไปส่งผมด้วย และเมื่อผมได้รับทุนไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา อาแต๋วก็จัดเป็ดพะโล้ชุดใหญ่มาเลี้ยงผม </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ที่บ้าน รร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">จันทรฯ</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>) </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">เป็นมื้อส่งท้าย ก่อนเดินทางอาแต๋วมอบรูปถ่ายหนึ่งนิ้ว ถ่ายในชุดข้าราชการให้กับผม ด้านหลังรูปเขียนว่า “เนี่ยะ อาแต๋ว อย่าลืมนะ” ผมยังเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์มาจนถึงทุกวันนี้</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">อาแต๋วเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผมก้าวตาม อาแต๋วเป็นครูผู้เสียสละและทุ่มเท เมื่อครั้งที่ผมหัดใช้คอมพิวเตอร์ใหม่ๆ อาแต๋วก็นำงานมา “จ้าง” ผมให้ฝึกฝีมือหลายงาน เช่นกรณีหนึ่ง อาแต๋วไป “จ้าง” นักเรียนของอาแต๋วที่ รร</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ฤทธิณรงค์รอน หลายๆ คน ให้จัดทำฐานข้อมูลหนังสือในห้องสมุดโดยการเขียนลงกระดาษ จากนั้นก็นำกระดาษเป็นปึกๆ มาจ้างให้ผมกรอกลงในโปรแกรม </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>Microsoft Excel </FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">ซึ่งผมกำลังหัดใช้ นอกจากนั้นยังมีงานอื่นๆ มากมาย เช่น สื่อการสอน แผ่นพับ ข้อสอบวิชาห้องสมุด ฯลฯ ซึ่งทุกงานล้วนเกิดจากความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ให้กับศิษย์ และยังเป็นการฝึกฝีมือของผม ผู้ซึ่งอาแต๋วไม่เคยใช้ให้ทำอะไรฟรีๆ </SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">แม้ผมจะปฏิเสธค่าจ้าง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมอาแต๋วทุกครั้งไป</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" STYLE="text-indent: 0.5in; margin-bottom: 0in"><SPAN LANG="zxx">อาแต๋วเป็นแม่พิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไทยที่ผมยืนหยัดอยู่ในวันนี้ อาแต๋วรับราชการจนเกษียณ เหน็ดเหนื่อยทุ่มเทให้กับงานของประเทศชาติ ถือเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินที่น่ายกย่องและน่าเอาเยี่ยงอย่าง อาแต๋วทำให้ผมรู้สึกว่าการทำงานให้ส่วนร่วมนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต</SPAN></P> <P CLASS="western" STYLE="margin-bottom: 0in"><BR> </P> <P CLASS="western" ALIGN=CENTER STYLE="margin-bottom: 0in"><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>(</FONT></FONT><SPAN LANG="zxx">๖</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>)</FONT></FONT></P> <P CLASS="western" STYLE="margin-bottom: 0in"> <SPAN LANG="zxx">เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อาแต๋วไม่อยู่กับเราแล้ว แต่เมื่อพิเคราะห์ดูว่าอาแต๋วเป็นคนดี มีจิตใจประเสริฐ มีการกระทำอันประเสริฐ ก็มั่นใจได้ว่าอาแต๋วจะได้ไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นสวรรค์ จะเป็นพรหมโลก จะเป็นดินแดนของพระผู้เป็นเจ้าองค์ใดก็สุดแท้แต่ ผมแน่ใจว่าอาแต๋วจะได้ไปอยู่ที่นั่น</SPAN><FONT FACE="Cordia New"><FONT SIZE=4>.</FONT></FONT></P> mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-3941185189143072992008-06-21T09:19:00.004-04:002008-06-22T13:03:24.291-04:00one X, one voteThere are many kinds of democracy:<br /><ol> <li><span style="font-weight: bold;">one man, one vote</span><br />this is the most basic form, as seen in an election. but things can get more complicated in an election which could turn it into #2</li> <li><span style="font-weight: bold;">one baht, one vote<br /> </span>those who have more money have more votes. Alternatively, those who can let go of more of their money win. this can be seen in AF (Academy Fantasia, a Thai reality TV show where audiences vote for their favourite singers each week. They pay for each vote.)</li> <li><span style="font-weight: bold;">one tank, one vote<br /> </span>those who have more tanks win, as in a military coup, which is quite <strike>in</strike>famous in Thailand.<br /></li> <li><span style="font-weight: bold;">one decibel, one vote<br /> </span>the winning party may not be the majority, but they are the loudest group of people. If one can organize the most gigantic mob on the streets, one wins. (PAD could be an example?)<br /></li> <li><span style="font-weight: bold;">one bomb, one vote<br /></span><span>as seen in modern warfare. The USA is always the winner since they have more atomic bombs than all other countries' combined.<br /> </span></li><li><span><span style="font-weight: bold;">one publication, one vote<br /> </span>in academia, each paper brings fame and recognition to the authors. One who has more papers published is more respected in the field.<br /> </span></li> </ol>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-45839172868692078972008-06-01T06:57:00.001-04:002008-06-01T06:57:56.671-04:00กฏแห่งกรรมมีช่องโหว่หรือไม่?กฏแห่งกรรมสอนว่าทำดีแล้วจะได้ดี หลายคนจึงตั้งใจทำความดีเพื่อหวังผลดีที่จะตามมา แต่กฏแห่งกรรมไม่ได้สอนว่าคนที่ทำดีจะ "ได้ดี" เมื่อไร และคนหลายคนใจร้อน จึงมองว่าตนเองทำดีมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นผลดีเกิดขึ้นกับตนเสียที ซ้ำร้ายบางครั้งชีวิตกลับแย่ลง แย่ลง จึงเสื่อมศรัทธาในกฏแห่งกรรม แม้ปากยังบอกว่าเชื่ออยู่ แต่ในใจลึกๆ นั้นมีความเคลือบแคลงสงสัย ส่งผลให้การกระทำไม่ตั้งอยู่บนความดีอีกต่อไป เมื่อมีทางใดที่จะลัดได้ก็ลัด คดได้ก็คด ยักยอกได้ก็ยักยอก ความละอายต่อบาปเริ่มจางหายไป และอีกไม่นานนักความเกรงกลัวต่อบาปก็ละลายหายไปด้วยเนื่องจากยังไม่เห็นผลร้ายจากการกระทำของตน ตรงกันข้ามกลับเห็นทรัพย์สินที่เพิ่มพูนขึ้น ผู้คนนับถือมากขึ้น มีหน้ามีตาในสังคมมากขึ้น บางคนถึงกับคิดว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้วก็ยิ่งทำให้ตนเองมีกำลังทรัพย์ในการทำบุญมากยิ่งขึ้น สามารถเอาชื่อไปประดับตรงตึกนี้ได้ เจดีย์นี้ได้ เก้าอี้ตัวนี้ได้ สะพานนี้ได้ เมื่อทำบุญมากขึ้นเช่นนี้ก็คงหักลบชดเชยกับบาปกรรมในอดีตได้เอง คงทำให้ตนเองได้ดิบได้ดี และลูกหลานสุขสบายเนื่องจากกองมรดกและชื่อเสียงที่สร้างไว้<br /><br />คนเลวที่เคยดีเช่นนี้จะได้รับการยอมรับจากสังคมหรือไม่? แน่นอนว่าผู้อื่นที่รู้ความจริงคงจะไม่ชื่นชมเขาแต่อย่างใด แต่หากว่าการกระทำของเขาแนบเนียนเสียจนไม่มีใครรู้ได้ว่าเขาเป็นคนคดโกง ก็คงจะมีแต่คนชื่นชมสรรเสริญ คนผู้นั้นแม้ไม่มีเกียรติในตนเอง แต่ก็คงได้รับเกียรติจากสังคมไม่น้อย อีกทั้งฐานะทางการเงินที่ดีพอก็คงทำให้สามารถ "แสดงน้ำใจ" กับผู้อื่นได้มาก ทั้งในแง่ความช่วยเหลือโดยส่วนตัว และการทำบุญทำทานเพื่อประดับบารมี<br /><br />แต่ตัวของเขาเองจะมีความสุขที่แท้จริงได้หรือ? ในเมื่อเขาและบางคนในครอบครัวก็คงจะรู้แก่ใจดีว่าชื่อเสียงและเงินทองที่หามาได้นั้นมีที่มาอย่างไร สมองของเขาต้องมัวคิดแต่ว่าจะปิดบังเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไร จะกลบหลักฐานให้สนิทได้อย่างไร จะสร้างเรื่องโกหกผู้คนว่าอย่างไร จะสร้างบุญคุณและแสดงน้ำใจกับใครบ้างเพื่อตนเองจะได้รับประโยชน์และความชื่นชมสูงสุด ในวาระสุดท้ายของชีวิตซึ่งเขาเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้คงจะต้องย้อนคิดว่าตนเองเคยทำอะไรไว้บ้าง คงจะนึกเสียดายว่าชีวิตเขาคงจะมีความสุขกว่านี้ถ้าไม่ต้องมัวแต่คิดเรื่องพวกนี้ คงจะห่วงลูกหลานว่าจะผลาญสมบัติและชื่อเสียงของเขาได้รวดเร็วแค่ไหนและจะภูมิใจหรือไม่หากทราบว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นคนเช่นนี้<br /><br />กฏแห่งกรรมไม่ได้มีช่องโหว่ กฏแห่งกรรมไม่ใช่เป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่กฏแห่งกรรมนี่แหละคือธรรมชาติ และไม่มีใครหนีธรรมชาติได้พ้นเพราะต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติmockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-15175973464208260992008-05-23T22:49:00.000-04:002008-05-23T22:50:39.927-04:00Learning Englishวิธีการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ในบทความนี้ผมรวบรวมวิธีการที่รู้จัก พร้อมด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ตามประสบการณ์ของตนเอง<br /><br />1. ทำสัญญากับคนใกล้ชิด (เพื่อน ญาติพี่น้อง แฟน ฯลฯ) ว่าจะพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด จะไม่ใช้ภาษาไทยเป็นอันขาด<br /><br />วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความกล้าในการพูด ฝึกทักษะการเลือกคำ การสร้างประโยค แต่อาจไม่ช่วยเพิ่มทักษะการฟังเท่าไรนักเพราะสำเนียงที่ได้ยินไม่ใช่สำเนียงของเจ้าของภาษา<br /><br />วิธีนี้ทำได้ค่อนข้างยาก ผมไม่เคยพบใครที่ทำได้สำเร็จ (แม้แต่ตัวเอง) ส่วนใหญ่จะรู้สึกอึดอัดและต้องล้มเลิกความตั้งใจไปในเวลาอันสั้น<br /><br />2. ติดตั้งเคเบิ้ลทีวี แล้วดูช่องที่เป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลา<br /><br />วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ผลตอบแทนน่าจะคุ้ม อย่างไรก็ตามมีอีกหนึ่งทางเลือกที่อาจจะประหยัดกว่า นั่นคือการเปิดวิดิโอคลิปต่างๆ จากอินเตอร์เน็ต เช่นจากเว็บ youtube.com หรือเว็บ cnn.com โดยตรง<br /><br />การดูวิดิโอคลิปได้เปรียบการดูโทรทัศน์ตรงที่ว่าเราสามารถฟังซ้ำในส่วนที่เราฟังไม่ออกได้ สามารถส่งลิ้งค์ของวิดิโอที่กำลังศึกษาอยู่ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนได้<br /><br />การเลือกรายการที่รับชมมีความสำคัญมาก หากต้องการฝึกภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันก็ควรชมรายการแบบอเมริกัน เช่น CNN, Fox News, Comedy Central หากต้องการฝึกสำเนียงอังกฤษก็ควรชม BBC News เป็นต้น<br /><br />โดยส่วนตัวแล้วสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกสำเนียงอเมริกัน ขอแนะนำให้ดู CNN เป็นหลัก เพราะเป็นช่องข่าวที่ทำให้เราทันเหตุการณ์ นักข่าวของ CNN พูดจาค่อนข้างสุภาพ นุ่มนวล ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาและมารยาทการนำเสนอข่าวที่ดี ส่วนข่าวของ Fox News จะออกแนวลูกทุ่งคาวบอย เน้นความมันส์ ความรวดเร็ว ความเผ็ดร้อนของประเด็นข่าว อาจจะฟังได้ยากกว่าสำหรับผู้เริ่มต้น<br /><br />สำหรับช่อง Comedy Central นั้น แนะนำให้ลองเปิดฟังดูบ้าง ถ้าเราสามารถฟัง joke ของเขาแล้วขำไปกับเขาได้ก็แสดงว่าเราเข้าถึงภาษาของเขาแล้ว นักแสดงตลกที่ผมชื่นชอบได้แก่ Jon Stuart, Stephen Colbert<br /><br />3. เช่าหนังฝรั่งแบบที่เป็น sound track มาดู<br /><br />วิธีนี้เป็นการผ่อนคลายไปในตัว หากเช่าเป็น DVD ก็อาจทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเพราะสามารถเปิดดู subtitle ในกรณีที่ต้องการตัวช่วยได้ อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ผมพบว่าการเรียนรู้ด้วยวิธีนี้เป็นไปได้ช้า และค่อนข้างยากลำบากในช่วงเริ่มต้น เพราะภาษาที่ใช้ในภาพยนต์มักไม่ใช่ภาษาทางการ ตัวละครอาจพูดไม่จบประโยค พูดติดสำเนียงแปลกๆ หรือใช้คำไม่ถูกต้อง<br /><br />4. ฟังเพลงภาษาอังกฤษและพยายามแกะ<br /><br />วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลสำหรับผม ผมฟังเพลงไทยผมยังแกะเนื้อไม่ค่อยได้เลย<br /><br />ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งคือว่า ภาษาที่ใช้ในเพลงมักไม่ใช่ภาษาที่ใช้โดยทั่วไป การฝึกภาษาด้วยวิธีนี้จึงค่อนข้างยาก และอาจทำให้เกิดความสับสน<br /><br />5. บินไปเที่ยวต่างประเทศ 1 เดือน<br /><br />นี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด และแพงที่สุด ก็เป็นได้ หากท่านสามารถลางาน/ลาเรียน บินเดี่ยวไปสหรัฐอเมริกาแล้วใช้ชีวิตอยู่ห่างๆ คนไทย ได้สัก 1 เดือน รับรองได้ว่าความสามารถทางภาษาอังกฤษจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก<br /><br />หากจุดประสงค์คือการฝึกภาษาอังกฤษแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องให้แน่ใจว่าสามารถปลีกตัวออกห่างสังคมคนไทยได้ การเลือกเมือง และการเลือกที่อยู่ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญmockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-16508227913681976892008-03-24T14:41:00.001-04:002008-03-24T14:41:47.649-04:00คำตอบก็คือ "มี"คำตอบก็คือ "มี"<br /><br />แต่คำถามคืออะไร?<br /><br />บ่ายวันนั้นแดดออกเปรี้ยง อากาศร้อน แต่ใจคนร้อนกว่า ผมนั่งอยู่บนอัฒจันทร์สนามศุภชลาศัย กำลังชมเกมฟุตบอลที่โรงเรียนสวนกุหลาบฯ แข่งกับโรงเรียนคู่แข่งแห่งหนึ่ง<br /><br />ผลบอลกำลังเป็นรอง กองเชียร์สวนกุหลาบก็ยิ่งร้อน<br /><br />เสียงเสียงหนึ่งดังมาจากไม่ไกลนัก เสียงคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งร้องว่า "เด็กวัด"<br /><br />ไม่นานเสียงเหล่านั้นก็ดังหนักขึ้น ผู้คนที่ได้ฟังก็ยิ่งคึกคะนอง ตะโกนย้ำถ้อยคำเสียดสีคู่ต่อสู้ "เด็กวัด! เด็กวัด! เด็กวัด!"<br /><br />ผมนั่งสะท้อนใจ เหตุใดเราจึงนึกว่าเราดีกว่าโรงเรียนคู่แข่งเพียงเพราะชื่อโรงเรียนของเราเพราะกว่า จะว่าไปโรงเรียนสวนกุหลาบฯ นี้ ก็เช่าที่ของวัดเลียบอาศัยอยู่ หากเราต้องเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนมัธยมวัดเลียบ" แล้ว เรายังจะมีอะไรแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปอยู่ไหม?<br /><br />คำตอบก็คือ "มี"<br /><br />สวนกุหลาบวิทยาลัยไม่ได้มีดีเพียงเพราะชื่อ ไม่ได้มีดีเพียงเพราะ "บุญเก่า" ที่รุ่นพี่เคยทำมา ไม่ได้มีดีเพียงเพราะความเก่าแก่ และไม่ได้มีดีเพียงเพราะสถานที่ซึ่งเป็นโบราณสถานล้ำค่าของชาติ<br /><br />แต่เพราะสวนกุหลาบมีคนที่ดี<br /><br />นักกีฬาบนสนามคือผู้อุทิศตนฝึกซ้อมเพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน เชียร์ลีดเดอร์คือผู้ที่ยอมสละเวลาและความสะดวกสบายเพื่อนำทัพผู้คนให้กำลังใจนักกีฬาอย่างมีวัฒนธรรม อาจารย์และผู้บริหารโรงเรียน คือข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่ย่อท้อเพื่อผลประโยชน์ของนักเรียนและสังคมไทย<br /><br />สวนกุหลาบเป็นเลิศในทุกด้าน<br /><br />ในด้านกีฬา เรามีโค้ชกีฬาที่เก่งกาจ มีชุมนุมเชียร์ที่ทุ่มเท มีนักกีฬาที่สามารถ, ในด้านระเบียบวินัย เรามีอาจาย์ฝ่ายปกครองที่เข้มแข็งหนักแน่น, ในด้านวิชาการทั่วไป เรามีคณาจารย์ที่ทุ่มเทสั่งสอนศิษย์ด้วยความเสียสละ<br /><br />และในด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ เรามีอาจารย์ผกาวดี ทิพย์พยอม และทีมงานห้องกุหลาบเพชร<br /><br />ผมได้ยินชื่อเสียงอาจารย์ผกาวดีตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนที่สวนกุหลาบฯ ในฐานะที่เป็น "เจ้าแม่" ห้องกุหลาบเพชร แต่ก็ไม่รู้จักอาจารย์เป็นการส่วนตัวจนกระทั่ง ม.3<br /><br />กระดานข่าวหน้าห้องกุหลาบเพชรติดรูปรุ่นพี่นักเรียนโอลิมปิกวิชาการสาขาต่างๆ ไว้ แต่ละคนแต่งตัวเท่ๆ มีผู้คนไปส่งและต้อนรับมากมายที่สนามบินดอนเมือง สำหรับเด็กที่ไม่เคยใส่ชุดสูท ไม่เคยขึ้นเครื่องบินอย่างผม มันเป็นภาพที่น่าชื่นชมและน่าประทับใจ<br /><br />ในใจก็ิคิดว่า รุ่นพี่เหล่านั้นไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? และเราจะมีทางไปได้บ้างหรือไม่?<br /><br />คำตอบก็คือ "มี"<br /><br />คำตอบอยู่ในห้องกุหลาบเพชรนั้นเอง และคำตอบอยู่ที่อาจารย์ผกาวดีที่กำลังเดินออกมาจากห้องกุหลาบเพชรนั้นเอง<br /><br />แรกๆ นั้น ผมไม่กล้าพูดอะไรสักคำกับอาจารย์ผกาวดี หนึ่งเพราะเกรงกลัวในรังสีบารมีของ "เจ้าแม่" ตามคำล่ำลือ* และสองเพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดว่าอย่างไร**<br /><br />ผมเหลือบไปเห็นใบประกาศรับสมัครสอบแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ อ่านดูก็พบว่าใครก็ตามที่สมัครจะมีรุ่นพี่มาติวให้ฟรีๆ ผมคิดว่าวิชาคอมพิวเตอร์น่าจะเป็นวิชาที่สนุกที่สุด อีกทั้งการตีสนิทกับรุ่นพี่ที่เป็นเซียนคอมพิวเตอร์ก็เป็นความคิดที่ดี เผื่อคอมฯ ที่บ้านมีปัญหา จะได้มีผู้ปรึกษาหารือ<br /><br />ผมเดินเข้าห้องกุหลาบเพชร<br /><br />ผมสวัสดีอาจารย์ผกาวดี กรอกใบสมัครสอบ ลงชื่อสมัครเข้าเรียน วันนั้นเองที่ได้สนทนากับอาจารย์ผกาวดีเป็นครั้งแรก วันนั้นเองที่ได้ฟังเสียงใสๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังพิเศษ ของอาจารย์ผกาวดีอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก<br /><br />หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป<br /><br />ผมมารับการติวจากรุ่นพี่ทุกเช้า ทุกเย็น บางวันต้องอยู่ดึกถึงสองทุ่ม หรือบางวันก็ดึกกว่านั้น ในช่วงที่เข้ารอบแรกๆ ไปแล้ว อาจารย์ก็จัดวิทยากรจากภายนอกมาสอนให้ หรือบางครั้งก็จัดรถตู้ของโรงเรียนพานักเรียนไปรับความรู้จากอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ<br /><br />อาจารย์ผกาวดีจัดการห้องกุหลาบเพชรได้เหมือนกับเป็นโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จัดให้มีการติวจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องอย่างไม่เคยขาดตอน จัดให้มีอาหารและเครื่องดื่มมาบำรุงขวัญและกำลังใจนักเรียนอยู่เสมอๆ<br /><br />นักเรียนมาติวแต่เช้า อาจารย์ก็มาแต่เช้า ถ้านักเรียนต้องอยู่ถึงดึก อาจารย์ก็อยู่ถึงดึกด้วย<br /><br />เมื่อรุ่นพี่นักเรียนทุน/นักเรียนโอลิมปิกฯ เดินทางไปหรือกลับจากต่างประเทศ อาจารย์จะชวนนักเรียนในห้องกุหลาบเพชรทุกๆ คน ไปเป็นกำลังใจให้กับผู้เดินทางที่สนามบินดอนเมืองทุกครั้ง หลายครั้งที่ผมไปได้ผมก็จะไป แต่คนที่ไปทุกครั้งโดยไม่ขาดก็คืออาจารย์ผกาวดีนั้นเอง<br /><br />บางครั้งอาจารย์ก็ไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องส่งคนหนึ่งตอนเที่ยงคืน และรอรับอีกคนหนึ่งตอนตีสี่<br /><br />ระหว่างการเข้าค่ายโอลิมปิกวิชาการ อาจารย์ผกาวดีก็แวะไปเยี่ยม (พร้อมอาหาร) อยู่บ่อยๆ นับว่าเป็นกำลังใจชั้นดีเลิศ<br /><br />อาจารย์ไม่เคยกดดันผม แต่อาจารย์ทำตนเป็นตัวอย่างให้ผมเห็นว่า คนที่ทำงานหนักทุ่มเทเพื่อโรงเรียนโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากนั้น น่าชื่นชมเพียงไร<br /><br />คนแบบนี้นี่แหละ ที่สวนกุหลาบฯ มีมากกว่าโรงเรียนอื่นๆ<br /><br />นอกจากโครงการโอลิมปิกวิชาการแล้ว ผมยังได้มีโอกาสเข้าไปคลุกคลีในห้องกุหลาบเพชร ในอีกฐานะหนึ่ง ฐานะที่เริ่มจากสตาฟชุมนุมคณิตศาสตร์ ไปจนถึงช่วงที่รับตำแหน่งประธาน และช่วงท้ายที่รับบทบาทเป็นที่ปรึกษา<br /><br />อาจารย์ที่คอยช่วยเหลือแนะนำงานชุมนุมคณิตศาสตร์ก็คืออาจารย์หมวดวิชาคณิตศาสตร์ทุกท่าน แต่เนื่องจากชุมนุมคณิตศาสตร์ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ห้องกุหลาบเพชร อาจารย์ท่านที่อยู่ใกล้ชิด หาตัวพบ พูดคุย ปรึกษา และปรับทุกข์ ได้ง่ายที่สุดก็คืออาจารย์ผกาวดีนั่นเอง<br /><br />ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีกี่ครั้งกี่หนที่:<br />- ผมบ่นกับอาจารย์ว่า งานนี้ งานนั้น หาคนมาช่วยทำไม่ได้ ท่าจะไปไม่รอด แต่พออาจารย์ให้คำชี้แนะ งานทุกงานก็สำเร็จลุล่วง<br />- ผมอยากบอกกับอาจารย์ว่าท้อ เหนื่อย อยากจะเลิก แต่พอเห็นอาจารย์ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมก็กลับมาทำงานได้อีกครั้ง<br />- ผมพยายามปฏิเสธ เมื่ออาจารย์ซื้ออาหารมาฝาก หรือพาไปเลี้ยงข้างนอก แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง<br /><br />ผมจบจากสวนกุหลาบฯ เมื่อปี 2544 จนถึงบัดนี้ 7 ปีแล้ว ผมเรียนอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ทุกครั้งที่ผมกลับมาเมืองไทยก็จะต้องแวะไปหาอาจารย์ แวะไปทีไรก็จะมองเห็นการ์ดปีใหม่ที่ผมเคยเขียนให้แปะอยู่บนโต๊ะทำงานที่เดิมเสมอ และที่แน่นอนที่สุด แวะไปทีไรก็จะถูกอาจารย์เชิญ(ลากตัว)ไปเลี้ยงอาหารอร่อยๆ อยู่เสมอ<br /><br />ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมโรงเรียน ผมจะถามอาจารย์ว่า นักเรียนเป็นอย่างไร, นักเรียนโอลิมปิกฯ เป็นอย่างไร, ผู้อำนวยการเป็นอย่างไร, คนที่ให้คำตอบได้อย่างละเอียด ตรงเป้า มากที่สุด ก็คืออาจารย์ผกาวดีนั่นเอง<br /><br />บัดนี้เวลาที่อาจารย์ผกาวดีจะเกษียณอายุราชการมาถึงแล้ว<br /><br />ส่วนหนึ่งผมใจหาย เป็นห่วงห้องกุหลาบเพชร อีกส่วนหนึ่งผมโล่งใจ อาจารย์ได้พักผ่อนเสียที<br /><br />ผมเชื่อว่าส่ิงที่อาจารย์ทำไว้ให้สวนกุหลาบฯ จะเป็นสิ่งที่จารึกอยู่ในใจของนักเรียนทุกๆ คน แบบอย่างที่ดีที่อาจารย์ได้ปฏิบัติไว้ จะเป็นแนวทางการทำงานของอาจารย์ท่านอื่นและนักเรียนในรุ่นหลัง<br /><br />ผมหวังว่าชีวิตหลังเกษียณของอาจารย์จะเต็มไปด้วยสีสัน (โดยมีสีชมพู-ฟ้า เป็นสีหลัก) เต็มไปด้วยความสนุกสนานไม่แพ้ในอดีต แต่ขอให้มีเรื่องปวดศีรษะน้อยลง และมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์<br /><br />ส่วนตัวผมจะไม่มีวันลืมความเสียสละทุ่มเทของอาจารย์ที่มีต่อสวนกุหลาบฯ ซึ่งจริงๆ แล้วมีมากมายเกินกว่าที่ผมจะสามารถเขียนบรรยายได้ในบทความนี้ และจะนำมาเป็นข้อเตือนสติในการดำรงชีวิตอยู่เสมอ<br /><br />ขอจบสั้นๆ ห้วนๆ เพียงเท่านี้ แต่ถ้าจะถามว่าต่อจากนี้ไป สวนกุหลาบฯ จะมีคนที่ดีเทียบเท่ากับอาจารย์ผกาวดีอีกหรือไม่?<br /><br />คำตอบก็คือ "มี"<br /><br />แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร<br /><br />หมายเหตุ:<br />* = พูดเล่น<br />** = พูดจริง<br /><br />ผนวกเดช สุวรรณทัต<br />25 มีนาคม 2551mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-56362440670182874482008-03-24T14:39:00.000-04:002008-03-24T14:40:13.400-04:00Mom's newshttp://suwannatat.com/lek/news.htmlmockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-64831835643104937082008-03-08T14:07:00.001-05:002008-03-08T15:05:10.964-05:00หยดหนึ่ง<div><span class="Apple-style-span" style="font-family: 'Lucida Grande'; font-size: 12px; ">58 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2492) อัจฉริยะท่านหนึ่งได้แต่งเพลงอมตะเอาไว้ เพลงนั้นมีเนื้อร้องและท่วงทำนองอันไพเราะ ความหมายก็ลึกซึ้งและ "ตรงใจ" ราวกับว่าได้ถูกแต่งมาโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในโลก ในเวลาสามปีถัดมา</span><br /></div><div> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ทั้งที่จริงแล้ว เพลงนี้คงถูกแต่งมาให้กลุ่มคนหลายคน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว มันเหมือนกับว่าเพลงนี้ถูกแต่งมาโดยเฉพาะสำหรับคนเพียงคนเดียว อาจเป็นเพราะมัน "ตรง" เสียเหลือเกิน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ชีวิตของเธอ -- เธอคนที่เกิดเมื่อปลายปี 2495 -- เกิดมาเพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติของเพลงอมตะเพลงนั้น</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">...</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">คนอีกสามคน กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามสิบปีถัดมา คนสามคนนั้นกำลังจะได้รับอานิสงส์อย่างเต็มๆ จากคุณค่าที่เพลงนั้นได้กล่าวถึงไว้</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">คุณค่าที่มิอาจประมาณได้</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">คุณค่าที่ไม่อาจพรรณาได้ด้วยคำอื่นใด นอกจากคำในเนื้อเพลงนั้น</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">...</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แม่เราเฝ้าโอละเห่</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกปักดวงใจ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ค่าน้ำนมครวญชวนให้ลูกฝัง</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">หยดหน่ึงน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย"</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">-- เพลง "ค่าน้ำนม" โดย ไพบูลย์ บุตรขัน 2492</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">...</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">นับมาถึงวันนี้ </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">- 58 ปีหลังจากที่เพลงนั้นถูกแต่งขึ้น </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">- 55 ปีหลังจากที่เธอคนนั้นเกิดขึ้นในโลก</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">- 25 ปีหลังจากที่คนสุดท้ายในสามคน กำเนิดขึ้นในกาลถัดมา เพื่อรับ "ค่าน้ำนม" จากเธอ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">เธอกำลังเผชิญกับอุปสรรคก้อนโต</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">อุปสรรคก้อนโต ... หลายๆ ก้อน</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">แต่เธอจะผ่านมันไปได้ เธอจะสู้กับอุปสรรคเหล่านั้น และเธอจะต้องไม่มีวันยอมแพ้</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">ลูกๆ ของเธอทั้งสามคน ก็จะไม่ยอมให้เธอสู้อยู่คนเดียว พวกเขาจะสู้เคียงข้างเธอ ด้วยพลัง ด้วยความเข้มแข็ง ด้วยความมั่นใจ</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">หากใครจะถามว่า "สู้แค่ไหน? ด้วยราคาเท่าไหร่?" พวกเขา ยินดีตอบด้วยคำถามว่า </p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande">"ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม?"</p> <p style="margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Lucida Grande; min-height: 15.0px"><br /></p> </div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-31107909786594286952007-10-29T02:40:00.000-04:002007-10-29T02:43:09.678-04:00ไฟ เงิน คน ความดี ภาษี บุญร้านขายของ<br /><br />กล่องรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากไฟป่าในภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย<br /><br />ประตูทางออกจากร้านขายของ<br /><br />คนชื่อโหลสี่คน สมชาย จอห์น สมหญิง แมรี่<br /><br />บทสนทนา<br /><br />แบงก์ $1 สี่ใบ ในมือของคนสี่คน<br /><br />บทสนทนาที่ไม่มีใครได้ยินใคร<br /><br />บทสนทนาในใจ<br /><br />สมชาย: "จะเอาไปหักภาษีได้ไหมนะ?"<br /><br />จอห์น: "น่าสงสารจัง ช่วยเขาหน่อย ขอให้ไฟสงบไวๆ ขอให้ไม่มีใครบาดเจ็บ"<br /><br />สมหญิง: "ทำบุญหน่อยดีกว่า ขอให้ผลบุญนี้นำพาให้ฉันถูกหวยสักทีเถอะ จะได้รวยมีบ้านริมทะเลอย่างพวกคนในมาลิบูบ้าง"<br /><br />แมร่ี: "กล่องบ้าอะไรเนี่ยะ จะถึงมือผู้ประสบภัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวพวกเจ้าหน้าที่ก็มุมมิบกันหมด เรื่องไรจะให้"<br /><br />...<br />เวลาสองวินาที<br />...<br /><br />สมชาย: "ไปบริจาคที่อื่นที่มีใบเสร็จดีกว่า"<br /><br />จอห์น: "เอ๊ะ แต่รัฐบาลก็มีสตางค์ตั้งเยอะแยะแล้วนี่หว่า คงไม่ได้ขาดแคลนอะไร ... จะขาดแคลนได้ไงวะ ก็แม่งเอาเงินไปโยนทิ้งในอิรักเป็นล้านล้าน"<br /><br />สมหญิง: "..แต่คิดอีกที ถ้าบริจาคโดยหวังผลตอบแทนอย่างนี้ก็คงไม่ได้บุญ และคงไม่ได้อานิสงส์ให้ถูกหวย! งั้นเปลี่ยนใจเอา $1 ไปซื้อหวยดีกว่า เพิ่มโอกาสให้ตัวเอง"<br /><br />แมรี่: "เอาน่ะ ถ้ามันจะมุบมิบก็ถือว่าเลี้ยงข้าวหมา ให้ไปละกัน ดอลเดียวเอง"mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-65424883342044763972007-10-14T04:57:00.000-04:002007-10-14T05:09:18.215-04:00Last Lectureศาสตราจารย์ แรนดี้ เพาช์ (<a href="http://www.cs.cmu.edu/%7Epausch/">Randy Pausch</a>) กำลังจะตายในอีก 5 เดือนข้างหน้านี้<br /><br />นี่เป็นเล็กเชอร์สุดท้ายของเขา ก่อนที่จะจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลล่อน (<a href="http://www.cmu.edu/index.shtml">Carnegie Mellon</a>) ไปพักผ่อนที่บ้านหลังใหม่<br /><br />เขาซื้อบ้านหลังนี้ไว้เมื่อคณะแพทย์ยืนยันว่า เนื้องอกในตับของเขาหมดหนทางรักษาได้ และอีกครึ่งปีต่อจากนี้ไปคือครึ่งปีสุดท้ายของชีวิตเขา<br /><br />แรนดี้ไม่ได้เริ่มต้นเล็กเชอร์ด้วยน้ำตา<br /><br />เขาเร่่ิมต้นด้วยการมิดพื้น แล้วเอ่ยว่า "ผมยังแข็งแรงอยู่ ใครอยากจะร้องไห้สงสารผม ก็ขอเชิญลงมามิดพื้นให้ดูเสียก่อน แล้วจะสมเพชผมอย่างไรก็ได้"<br /><br />หัวข้อเล็กเชอร์นี้คือ "Really Achieving Your Childhood Dreams" (คำแปล: "ทำความฝันยามเด็กให้เป็นจริง จริงๆ")<br /><br />ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที ต่อมา แรนดี้ได้ให้ข้อคิดและเทคนิคต่างๆ มากมายในการนำพาตัวเองสู่ความฝัน โดยให้ตัวอย่างจากชีวิตของเขาเอง<br /><br />ความฝันยามเด็กของเขาคือ:<br />1) อยู่ใน<a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Weightless">สภาพไร้น้ำหนัก</a><br />2) เล่นฟุตบอลใน <a href="http://www.nfl.com/">NFL</a><br />3) เขียนบทความในสารานุกรมเวิอร์ลด์บุค (<a href="http://www.worldbook.com/">World Book</a>)<br />4) เป็นกัปตันเคอร์ก (<a href="http://www.startrek.com/startrek/view/series/TOS/character/1112496.html">Captain Kirk จาก Star Trek</a>)<br />5) ได้ตุ๊กตาตัวโตๆ จากเกมในสวนสนุก<br />6) เป็นวิศวกรแห่งจินตนาการ (<a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Walt_Disney_Imagineering">Imagineer</a>) ที่ Disney<br /><br />เป็นความฝันที่บ้าบิ่น หลากหลาย และท้าทายต่อความเป็นจริง<br /><br />แรนดี้ไม่ได้สำเร็จในการทำทุกความฝันให้เป็นจริง<br /><br />ในบ้างข้อเขาทำได้ บางข้อทำไม่ได้ แต่เขาได้อะไรกลับมาจากการพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน มากกว่าจุดประสงค์เริ่มต้นจากความฝันนั้นอีก<br /><br />คำสอนที่ผมประทับใจมากที่สุดคงเป็น:<br /><blockquote style="color: rgb(153, 51, 0);">"Experience is what you get when you didn't get what you wanted."<br /></blockquote> แปลได้ว่า "ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณจะได้รับ เมื่อคุณไม่ได้รับสิ่งที่คุณต้องการ"<br /><br />นี่เป็นสิ่งที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ผมยึดถือมานานตั้งแต่ยังเด็ก ประสบการณ์ที่เราได้พยายามไขว่คว้าอะไรสักอย่างนั้น มันมักจะมีค่ายิ่งกว่าส่ิงที่เราต้องการอยู่ในขณะนั้นเสียอีก<br /><br />อีกคำสอนที่ประทับใจไม่แพ้กันก็คือ:<br /><blockquote style="color: rgb(153, 51, 0);">"Brick walls are there for a reason: they let us prove how badly we want things."<br /></blockquote>แปล (แบบถอดความ) ได้ว่า "อุปสรรคขวากหนามมีเหตุผลของมัันเอง มันมีไว้เพื่อให้เราพิสูจน์ว่าเราต้องการบางสิ่งมากเพียงไร"<br /><br />แรนดี้ยังเสริมด้วยว่า หากเราต้องการสิ่งใดจริงๆ แล้ว อุปสรรคก็ไม่ได้มีไว้เพื่อกีดขวางเรา มันมีไว้เพื่อกีดขวางคนอื่นๆ ต่างหาก<br /><br />คำสอนเหล่านี้ล้วนมีค่า แต่มันคงเป็นเพียงคำสอนที่น่าเบื่อ หากว่ามันไม่ได้มาจากปากของคนที่สามารถนำชีวิตตนเองมาเป็นตัวอย่างได้ ดังเช่นแรนดี้<br /><br />ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน<br /><br />ความปลาบปลื้ม ความปิติ ความฝัน แรงบันดาลใจ ความยินดี ความภูมิใจ ฯลฯ ...<br /><br />... คือสิ่งที่แรนดี้ให้กับผู้ฟังในวันนั้น วันที่เขามอบเล็กเชอร์ท้ายสุด เล็กเชอร์ที่ดีที่สุด ให้กับสถาบันที่เขารักมากที่สุด<br /><br />แรนดี้ไม่ได้จบเล็กเชอร์ด้วยน้ำตา<br /><br />เขาจบด้วยการนำเค้กก้อนใหญ่มาวางไว้หน้าห้อง แล้วขอให้ผู้ฟังช่วยกันร้องเพลงอวยพรวันเกิด (ย้อนหลัง) ให้ภรรยา<br /><br />คนที่มาฟังในวันนั้น (18 ก.ย. 50) มีทั้งนักเรียน อาจารย์ เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าภาควิชา คณะบดี ประธานมหาวิทยาลัย ฯลฯ เต็มแน่นห้องประชุมหลัก ที่จุคนได้ 450 ที่นั่ง<br /><br />แต่คนที่ได้ฟังเล็กเชอร์นี้ไม่ได้มีแค่นั้น<br /><br />วิดิโอที่โพสต์ไว้ในกูเกิ้ลวิดิโอ (Google Video) ได้รับการชมไปแล้ว 310,734 ครั้ง ผมเป็นหนึ่งในนั้น <span style="font-size:78%;">(หมายเหตุ: นี่คือจำนวนครั้งการชม ไม่ใช่จำนวนผู้ชม แต่กระนั้นก็ยังเป็นตัวเลขที่สูงอยู่ดี)</span><br /><br />ขอเชิญร่วมเป็น "นักเรียน" อีกคนหนึ่ง ได้ที่<br /><a href="http://video.google.com/videoplay?docid=362421849901825950&hl=en">http://video.google.com/videoplay?docid=362421849901825950&hl=en</a><br /><br /><span style="color: rgb(153, 153, 153);">-----</span><span style="font-size:78%;"><br />ป.ล.[1] ในตอนเริ่มต้น แรนดี้ได้กล่าวว่าเขาจะไม่ขอพูดเรื่องศาสนา แต่ขอประกาศว่า บัดนี้เมื่อรู้ว่าตนใกล้ตายเขาได้เปลี่ยนศาสนาแล้ว -- เขาเพิ่งซื้อเครื่องแมคอินทอช (<a href="http://www.apple.com/mac/">Macintosh</a>)<br /><br />ป.ล. [2] คุณล่ะ จะ<a href="http://www.apple.com/getamac/">เปลี่ยนใจใช้ mac</a> หรือยัง?</span>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-77321958363966015402007-06-09T17:17:00.000-04:002007-06-12T03:09:13.965-04:00Berkeley Eating Guide, and beyond...<div align="center"> by Mock Suwannatat<br />written in English & Thai<br /></div><br />Berkeley is a great place to get fed (... and probably get fat).<br /><br />Let's start with the one closest to UC Berkeley campus: Thai Noodles. This one is famous for its ridiculously late hours (I once ate there at 1am). My favorite dish is Duck Fried Rice. (ข้าวผัดเป็ด อร่อยโคตรๆๆ -- as I wrote this, somebody disagreed). I once bought 2 take-out orders and hauled it all the way to Santa Barbara. It's still good for up to a week in the freezer.<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/MuirWoodNationalMonument/photo#4960055443641008146"><img src="http://lh6.google.com/image/panuakdet/RNWoJYB3ABI/AAAAAAAACOo/V8vHpn1lMyQ/s144/dsc09162.jpg" /></a><br /><b>Thai Noodles<br /></b><span style="">1936 Shattuck Ave, Berkeley, CA 94704</span><br /><span style="">(510) 848-6531<br />intersection: Shuttuck Ave & Berkeley Way<br /><br />Another great Thai restaurant near campus is called Your Place (the exact same name as the one in Santa Barbara, which is also great). Papaya salad, grilled pork, and grilled chicken are my favorite here. บรรยากาศดี อาหารอร่อย ราคาก็ไม่แพง. เมนูแนะนำ: ส้มตำ หมูย่าง ข้าวเหนียว และปลาดุกผัดเผ็ด<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/SpringBreakInBerkeley/photo#5049428223071901410"><img src="http://lh3.google.com/image/panuakdet/RhMsN0MIVuI/AAAAAAAABdU/gf7QNzVl0n4/s144/DSC03689.JPG" /></a><br /><b>Your Place Thai Cuisine<br /></b>1267 University Ave, Berkeley, CA<br /></span>(510) 548-9781<br />intersection: University Ave & Chestnut St<br /><br />And here is my favorite-ever Thai restaurant in this area: Krung-thep. It's a little far away from campus, but never too far. I first fell in love with the Duck Salad (ลาบเป็ด แซบมาก อร่อยมากๆๆ), and then I learned that the Deep Fried Pompano is so good that I cannot describe. (ปลาราดพริก, ปลาจาละเม็ด?) It's so delicious and crispy that I can eat the bones, the head, the tail, and everything. You must try this if you come here. Another great choice is the shrimp fried rice (ข้าวผัดกุ้ง). Sounds simple, huh? But it's better than anywhere else, really. ของทั้งสามอย่างนี้ผมเคยซื้อกลับมาแช่แข็งไว้เป็นเสบียงที่ Santa Barbara แล้วทั้งนั้น ไม่เคยผิดหวังสักครั้ง<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/StanfordBerkeleyTrip/photo#5033310319129332690"><img src="http://lh6.google.com/image/panuakdet/RdnpEVADC9I/AAAAAAAAAgk/6yKCSTh6kFs/s144/DSC03094.JPG" /></a><br /><b>Krung-Thep Restaurant<br /></b>905 San Pablo Ave, Albany, CA<br />(510) 524-6837<br />intersection: San Pablo Ave & Solano Ave<br /><br />The next one is both a restaurant and a Thai grocery store at the same place: Tuk Tuk (ตุ๊กๆ). Whether you want fresh ingredients for your Thai dish, or some Thai snacks, or Thai magazines, or some ready-made, delicious, inexpensive Thai food, you can find them here. Van once suggested that I try the fried Tilapia. (ปลานิลทอด) It's a big, dry, and deep fried fish, with a delicious spicy dipping sauce (or you can just จิ้มน้ำปลาพริก ก็อร่อย). You can't really eat the bones (watch out for them; they are huge), but every other part of that fish is just fantastic. Now I'm a big fan. There's rarely a time when I visit Berkeley and don't drop by to order some fish for take-out. My suggestion: call ahead and order one day in advance. It takes time to fry these fish, so give them time to prepare. Oh, people there are nice and super-friendly, too. :) Give them a smile when you go there.<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/ChrisInSB/photo#5062012833570351506"><img src="http://lh3.google.com/image/panuakdet/Rj_h2jlt6ZI/AAAAAAAABxs/hpUvCd6psNY/s144/DSC03879.JPG" /></a><br /><b> Tuk Tuk Thai & Asian Market<br /></b>1581 University Ave, Berkeley, CA<br />(510) 666-1125<br />intersection: University Ave & California St<br /><br />Feeling a bit religious? Want to seek some peace through the Buddha's way? Or just want to see A LOT of Thai people in the area? If the answer to any of those questions is yes, then the next place is definitely for you. If the answers are no, then let me try this question: want to taste some great, real, super-authentic Thai food for cheap, in an atmosphere that you can't find at any traditional restaurants? I know you said yes. So, let's visit the Thai Temple at Berkeley (วัดมงคลรัตนาราม). For $6, you can get a filling portion of fried chicken with sticky rice. (ข้าวเหนียวไก่ทอด) That is my favorite. For just about as cheap, you can get a great variety of other Thai food and dessert. I've been told that ฝอยทอง is the best here, although I've never tried. They open only for lunch on Sundays, so you'll see a lot of Thai people standing in long lines for all kinds of food -- that tells us something. After eating, you can visit the house of Buddha, or have a chat with some monks upstairs. This can fill both your stomach and your spirits. Note: bring cash.<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/CoitTower/photo#4971790474681188370"><img src="http://lh3.google.com/image/panuakdet/RP9ZGFULABI/AAAAAAAADcA/OCM32IQ1MDs/s144/DSC09988.JPG" /></a><br /><b>Wat Mongkolratanaram<br /></b>1911 Russell St, Berkeley, CA 94703<br />(510) 849-3419<br />intersection: Russell St & Martin Luther King Jr Way<br /><br />Now it's time for something not Thai. How about Korean? Here is a fancy, yet inexpensive Korean restaurant. They serve a lot of free appetizers and they're delicious. But don't get filled by that. Save some room for the real food which is even more delicious. I don't remember what I ordered, Kalbi perhaps? along with other standard Korean dishes. ตบท้ายด้วยของหวานซึ่งคล้ายๆ กับน้ำล้างหม้อข้าว ฟังดูน่ากลัวแต่อร่อย<br /><br /><b>Jong Ga House<br /></b>372 Grand Ave, Oakland, CA 94610<br />(510) 444-7658<br />intersection: Grand Ave & Ellita Ave<br /><br />Here is another one. It's a Korean BBQ style. My favorite item is the ปลาย่าง, broiled salted mackerel (item #13).<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/StanfordBerkeley/photo#4971855927540056082"><img src="http://lh5.google.com/image/panuakdet/RP-Un8NyABI/AAAAAAAAD3A/vC6ysE9x0Lg/s144/DSC09927.JPG" /></a><br /><b>Sam Won Kal Bi<br /></b> 2600 Telegraph Ave, Oakland, CA 94612<br />(510) 834-5757<br />intersection: Telegraph Ave & 27th St<br /><br />Next, let's go to a nearby town Emeryville. The Hong Kong East Ocean Restaurant is my favorite Dim Sum place. Not only do they have great dim sum, they also have really beautiful views of the Bay. The panoramic glass wall is breathtaking. You can see a lot of Chinese families coming here. That tells us how authentic the food must be. They have plenty of parking spaces. After eating, you can take a walk along the bay. The view is terrific. The atmosphere is terrific. มันน่าเดินย่อยให้หิวอีกรอบแล้วกลับเข้าไปกินใหม่. On a hot day, you can just sit on the rocks by the water and feel the cool winds. It's such a great place to relax.<br /><br /><b>Hong Kong East Ocean Restaurant<br /></b>3199 Powell St, Emeryville, CA 94608<br />(510) 655-3388<br /><br />We've had Thai food, Korean food, and Chinese food. What have we missed here? Japanese! That's right. We need some good Sushi place. Here is a good one, not too far from the campus. บรรยากาศดี อาหารอร่อย. I like the fresh Sashimi. ปลาดิบคือของโปรดของผมเสมอ<br /><br /><b>Joshu-Ya<br /></b>2441 Dwight Way, Berkeley, CA<br />(510) 848-5260<br />intersection: Dwight Way & Telegraph Ave<br /><br />Let's get back to Thai food. What if you want to get away from Berkeley for a bit? Let's go to San Francisco. Right around the famous Union Square, there is a famous purple-colored Thai restaurant: King of Thai Noodles - ราชาก๋วยเตี๋ยวเรือ. What? noodles? If you know me well, you may have realized that I don't like noodles, especially the wet kinds. ผมไม่ชอบกินเส้น (ไม่ชอบใช้เส้นด้วย) They don't only serve noodles, but a lot of other things as well. I've tried many things and they all taste really good. They open very late, too (1 or 1:30am). The prices are not expensive. The only downside -- nah, the only challenge -- is that you may have to drive around the blocks a few times before you can find a parking space that doesn't cost you $20. That's the way it is in San Fran.<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/GoldenGateBridge/photo#4942097837266698258"><img src="http://lh4.google.com/image/panuakdet/RJXbzHOCABI/AAAAAAAAAfQ/mplVKY3cy_4/s144/dsc07869.jpg" /></a><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/SanFranciscoTour/photo#4965275793856462866"> <img src="http://lh5.google.com/image/panuakdet/ROg0BwCpABI/AAAAAAAAC64/-NAxQ8G7RUI/s144/DSC09826.JPG" /></a><br /><b>King of Thai Noodles<br /></b>184 Ofarrell St, San Francisco, CA 94102<br />(415) 752-5198<br />intersection: Ofarrell St & Powell St<br /><br />Another famous Thai restaurant, very famous among the Thais at Berkeley, is Ozone. It's a Karaoke/party style cafe. I've ordered ผัดผักบุ้ง & ปลาราดพริก. They are great, and there're not many places where you can find ผัดผักบุ้ง like that. Thai students like to come here and party. I once almost got to come here for a dance, but I fell asleep at the hotel and somebody stole my shoes. I still remember that until today. ฮึ่ม เฮียกอล์ฟ (forgive != forget :P)<br /><br /><b>Ozone Restaurant<br /></b>1160 Polk St, San Francisco, CA 94109<br />(415) 440-9663<br />intersection: Polk St & Sutter St<br /><br />In case you want to cook, or in need of some non-Dim Sum Chinese food, there are a few restaurants at the 99 Ranch Market. Lots of Chinese people go there so they must be good. There's also a big super market. You can buy raw materials, groceries, snacks, and everything. They have many branches, but this one is the closest.<br /><br /><b>99 Ranch Market<br /></b> 3288 Pierce St, Richmond, CA 94804<br />(510) 769-8899<br />intersection: Pierce St & Central Ave<br /><br />That's it for now. If you know of any other nice places, please post them in the comments. If you can suggest a menu at any of the above places, please do so. If you've had good or bad experiences, please share. If I feel like this guide is useful to others, I may do more. I'm thinking about extending the guide down south to Stanford, Santa Clara, Santa Barbara, Los Angeles, and San Diego. But that will come later.<br /><br />Enjoy eating!<br />(I hope you don't try all the places on the same day.)<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 0, 0);">ADDENDUM</span><br /><br />How could I have forgotten this one? Thank Chayut Thanapirom who reminded me on facebook. Thai Basil, situated in the so-called South Asian Ghetto, is even closer to campus than Thai Noodles, and the food is cheaper. Van likes to have the garlic pork (หมูทอดกระเทียม) for lunch. I like the basil chicken with an egg (กระเพราไก่ไข่ดาว). My mom had pineapple fried rice (ข้าวผัดสัปปะรด) and she likes it.<br /><a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/GoldenGateBridge/photo#4942097254575374354"><img src="http://lh4.google.com/image/panuakdet/RJXbRMhmABI/AAAAAAAAAdI/hDRKP0cHMi0/s144/dsc07772.jpg" /> </a><br /><span style="font-weight: bold;">Thai Basil Cuisine</span><br />2519 Durant Ave, Berkeley, CA 94704<br />(510) 548-6692mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-6978606944457790712007-05-26T04:38:00.000-04:002007-05-26T04:40:10.150-04:00Things I do (and don't do) for the environmentThings I do to save the environment:<br />- I recycle all cans and bottles at the recycling center.<br />- I choose Honda Civic which is great on fuel economy. (32-35 mpg on highways)<br />- I obey the speed limit (kind of).<br />- I separate papers from other trash.<br />- When at home, I drink home's filtered water instead of bottled water.<br />- I reduce the frequency of taking a bubble bath, although I like it.<br />- I reuse grocery bags. I refuse to take a bag if I don't really need it.<br />- I get rid of all tungsten light bulbs, whether they are mine or not. I replace them with energy saving bulbs which I keep in my trunk. (I've got them for $0.25+tax each!)<br />- I turn things off when I don't use them. (kind of) <br />- I worked at Google. (erm.. is this related?)<br />- What else should I do?<br /><br />Things I won't do for the environment:<br />- I won't go paperless on bank and credit card statements. I still want my paper records.<br />- I still drive to LA and Berkeley for good Thai food. (& etc) <br />- I still keep lots of bottled water in my trunk. This is for safety and convenience.<br />- I still take 2 showers a day.<br />- I leave my wireless router on 24/7.mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-51782973538694411732007-04-05T15:12:00.001-04:002007-04-05T15:12:56.494-04:00ความสามารถพิเศษตอนเด็กๆ ผมมีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนใคร: ผมสามารถปิดใบหูตัวเอง และปล่อยให้มันปิดอยู่อย่างนั้นได้โดยไม่ต้องใช้มือจับไว้<br /><br />หลักการก็คือ ผมจะเอามือปิดหูตัวเองไว้แน่นๆ สักพักหนึ่ง ราวๆ 5-10 นาที แล้วจึงปล่อย หูก็จะปิดอยู่อย่างนั้นด้วยแรงดันอากาศจากภายนอก หลังจากนั้นผมสามารถเปิดใบหูได้ด้วยการใช้มือแกะออก หรือเพียงขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า<br /><br />ความสามารถพิเศษนี้ฟังดูเหมือนไร้สาระ แต่ผมสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้จริงๆ<br /><br />ประโยชน์อย่่างหนึ่ง (ที่ไร้สาระ) ก็คือ ไว้อวดชาวบ้าน ให้เขาเห็นว่าเราแปลก (แต่แท้จริงแล้วไม่จำเป็น เพราะ ... -- ไม่พูดดีกว่า)<br /><br />ประโยชน์อีกอย่าง (ที่มีสาระ) ก็คือ ผมสามารถหยุดรับฟังเสียงที่ไม่ต้องการได้ ในเวลาที่ผมไม่ควรได้ยินมัน<br /><br />ผมใช้ความสามารถนี้เวลาเข้าห้องสอบ<br /><br />ความรู้สึกในห้องสอบเวลาที่ผมปิดใบหูนั้น สามารถอธิบายได้ดังนี้<br />- ผมยังคงได้ยินเสียงอยู่บ้าง<br />- แต่เสียงที่เข้ามานั้นถูกผสมปนเปกันภายในใบหูก่อนที่จะผ่านเข้ามายังรูหู (เหมือนกับภาพที่ผ่านเลนส์ที่ทำให้เบลอร์ / เหมือนกับ signal ที่ผ่าน low-pass filter)<br />- เสียงที่ผมได้ยินนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจับใจความไม่ได้<br />- ความรู้สึกเหมือนนั่งฟังเสียงคลื่นทะเล, เสียงน้ำตก, เสียงนกร้อง, เสียงลมพัดผ่านใบไม้ในป่า<br /><br />ประโยชน์ที่ผมได้คือ<br />- ผมมีสมาธิในการทำข้อสอบมากขึ้น<br />- หมดปัญหาเรื่องคนกระซิบถามคำตอบ<br /><br />ปัญหาของความสามารถพิเศษนี้คือ ผมไม่สามารถใช้มันได้ทุกครั้ง ในวันที่ใบหูอ่อนก็ทำได้ ถ้าวันไหนใบหูแข็งก็ทำไม่ได้<br /><br />ปัญหาอีกข้อก็คือต้องใช้เวลา set up ราวๆ 5 - 10 นาที, ระหว่างนั้นผมก็จะไม่สามารถใช้มือได้ข้างหนึ่ง<br /><br />...<br /><br />ครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้ว่าใช้ความสามารถนี้ก็คือตอนสอบเข้า รร. สวนกุหลาบวิทยาลัย<br /><br />ผมนั่งค่อนไปทางด้านหลังของห้อง ที่นั่งซ้ายสุด ระหว่างที่อาจารย์กำลังแจกข้อสอบผมก็เริ่มปิดหูขวา (เหลือหูซ้ายไว้ฟังคำสั่ง) พอถึงเวลาเริ่มทำข้อสอบหูขวาผมก็ปิดพอดี แล้วจึงเริ่มปิดหูซ้าย และใช้มือขวาในการทำข้อสอบ<br /><br />ผมจำไม่ได้แล้วว่าใช้เวลาสอบกี่ชั่วโมง แต่จำได้ว่าผมทำข้อสอบด้วยความมั่นใจและมีสมาธิสูงมาก ผมทำเสร็จก่อนเวลาราวๆ 20 นาที<br /><br />ระหว่างที่เดินไปส่งข้อสอบใบหูผมยังปิดอยู่ ก่อนจะยื่นข้อสอบให้อาจารย์ผมก็ขยับใบหน้าให้ใบหูทั้งสองข้างเปิดออกมา อาจารย์มองหน้าผมอย่างแปลกใจและตกใจเล็กน้อย ผมยื่นข้อสอบให้แล้วยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมกับอธิบายให้อาจารย์ฟังสั้นๆ เบาๆ ว่า "อ้อ ผมปิดหูไว้จะได้มีสมาธิน่ะครับ"<br /><br />"ฉันนึกว่าเธอพิการเสียอีก ตะกี้นั่งอยู่มองเห็นยังรู้สึกเห็นใจเลย" อาจารย์ท่านนั้นตอบ น้ำเสียงห่วงใย<br /><br />ผมยิ้มแล้วเดินออกจากห้องสอบ ขึ้นรถเมล์ (สาย 6 หรือ 42) กลับบ้าน<br /><br />...<br /><br />เมื่อเติบโตขึ้น ผมสูญเสียความสามารถพิเศษนี้ไป ไม่สามารถปิดใบหูได้อย่างเดิมอีกแล้ว<br /><br />เวลาเข้าห้องสอบผมต้อง "ปิดหู" ด้วยวิธีอื่น นั่นคือทำเป็นไม่ได้ยิน หรือไม่สนใจเสียงที่ได้ยิน .. เรียกได้ว่า "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่"<br /><br />แรกๆ นั้นยาก แต่ต่อๆ ไปมันก็ง่ายขึ้น<br /><br />ความสามารถในการ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเลยทีเดียว ทั้งในห้องสอบและนอกห้องสอบ<br /><br />การรับฟังเสียงจากคนรอบข้างนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากจะให้รับฟังอยู่ทั้งวันทั้งคืน บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม เพราะคนเราต้องการสมาธิ หรือต้องการฟังเสียงจากตัวเองบ้าง บางครั้งจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้ผู้คนเขาพูดไป ส่วนเราก็ตั้งใจทำสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องให้ดีที่สุด<br /><br />ไม่ใช่ว่าไม่สนใจคนอื่น แต่เราเลือกเวลาที่จะฟัง และเวลาที่จะหยุดรับฟังต่างหาก<br /><br />และแน่นอน เวลาที่ฟัง ก็จงฟังอย่างตั้งใจmockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-32791658112714453502007-03-22T15:35:00.000-04:002007-03-22T15:38:40.874-04:00mocbookMy computers and their names:<br /><br />Desktops:<br /><ol><li>a 80486, 100 MHz?, no brand (Pantip built)<br />bought in Bangkok<br />no name<br />condition: deceased<br /></li><li>a Pentium II, 400 MHz?, no brand (Pantip built)<br />bought in Bangkok<br />no name<br />condition: ill but alive<br /></li><li>a Pentium 4, 1.4 GHz, a Dell<br />bought in Pittsburgh<br />name: <span style="font-weight: bold;">MockBlackBox</span><br />condition: in a dumpster</li><li>a Pentium 4, 2.4 GHz, a Dell<br />bought in Mountain View<br />name: <span style="font-weight: bold;">MocktainView</span><br />condition: working but being abused by Vista<br /></li></ol><br />Laptops:<br /><ol><li>an IBM ThinkPad, Pentium III ?,<br />got it for free (as a reward) from IBM in Bangkok (Thank them!)<br />name: <span style="font-weight: bold;">MockPad</span><br />condition: seriously ill and handicapped</li><li>a Sony Vaio, Pentium III, 800 MHz<br />bought in Pittsburgh<br />name: <span style="font-weight: bold;">MockSo(ti)nyBook</span><br />condition: heavily scratched but still strong, I love Sony.<br /></li><li>an Apple MacBook, Intel Core 2 Duo, 2 GHz<br />bought in Santa Barbara<br />name: <span style="font-weight: bold;">mocbook</span><br />condition: white and shiny, cute, fast, fun, "it just works!" Apple is my new love. (Sorry, Sony, I still love you, too.)<br /></li></ol><br /><span style="text-decoration: underline;">Observations:</span><br />(PC users can skip this section)<br /><div style="margin-left: 40px;">At the beginning, I didn't care about giving a name because I just thought "well, it's a computer. It needs no name, and I have only one computer (at a time) anyway." Later on, I found it useful to give names because, well, we need it for the network anyway. So I began giving names in a Java-class-name's style: MockPad, MockBlackBox, MockSoTinyBook (the full name has some parentheses inside, which is illegal in some cases), and MocktainView. All of them have "Mock" in the names.<br /><br />But now, as you know, <span style="font-weight: bold;">mocbook</span> breaks that pattern somewhat, although not completely. It seems like all-lower-caps naming convention is the way to go nowadays. It's like a fashion. Also, not putting all the letters in the word can make a good name. And most important of all, <span style="font-weight: bold;">mocbook</span> sounds (and looks) like macbook, doesn't it?<br /><br />And it's ok if it doesn't look like the other names; because <span style="font-weight: bold;">mocbook</span> is a Mac, and it's a real computer <span style="font-weight: bold;">:P</span> ... unlike the others anyway. Hehehe.<br /><br /></div>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-83207176633708218342007-02-10T15:17:00.000-05:002007-02-11T23:43:52.925-05:00Halting Problem for Love<span style="color: rgb(51, 51, 255);">"โปรดอย่าถาม ว่าฉันจะรักเธอนานเท่าใด ฉันตอบไม่ได้ว่าฉันจะรักชั่วกาลนิรันดร์ ..."</span><span style="font-style: italic;"><span style="color: rgb(51, 51, 255);"> </span>[เพลงจงรัก ของสุนทราภรณ์]</span><br /><br />เพลงนี้หลายคนคงเคยได้ยิน<br /><br />ผู้แต่งเพลงได้ให้เหตุผลไว้ว่า <span style="color: rgb(51, 51, 255);">"เพราะชีวิตฉันคงไม่ยืนยาวไปถึงป่านนั้น"</span><br /><br />แต่แท้จริงแล้วมีคำอธิบายในอีกแง่หนึ่ง ที่สามารถอธิบายเหตุผลว่าทำไม "ฉันตอบไม่ได้.." โดยไม่ต้องตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่ามนุษย์มีอายุขัยจำกัด<br /><br />ลองมองดูว่า "ความรัก" ก็เปรียบเสมือนกับโปรแกรม และตัวเรา (หรือใจเรา) ก็เป็นเสมือนผู้ดำเนินการตามโปรแกรมนั้น พูดในอีกแง่หนึ่ง เราเองก็เปรียบเสมือนกับ Turing Machine และความรักก็คือ โปรแกรม (transition rules) ของ Turing Machine ส่วนคนรักนั้นก็คือ input และความทรงจำในช่วงต่างๆ ของชีวิต ก็คือ infinite memory tape <span style="font-size:78%;">(บางคนอาจเถียงว่าความทรงจำของเรามีจำกัด แต่อย่าลืมว่าเราสามารถจดความทรงจำใส่ไดอะรี่ได้เสมอ)</span><br /><br />ข้อสังเกตข้อหนึ่งคือ Turing Machine นี้ ไม่จำเป็นต้อง deterministic <span style="font-size:78%;">(โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง(บางคน) .. ฮาๆๆๆ)</span><br /><br />เป็นที่รู้กันดีว่า halting problem สำหรับ Turing machine นั้นเป็นปัญหาที่ undecidable<br /><br />นั่นหมายความว่าไม่มี algorithm ใดที่รับอินพุตเป็น Turing machine M และ string w แล้วจะสามารถตอบได้ (ภายในเวลาจำกัด) เสมอว่าเมื่อ M รันบน input w แล้ว M จะเสร็จสิ้นการทำงาน (terminate) หรือไม่<br /><br />ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อความรักและตัวเราเป็นดั่ง Turing machine และคนรักเป็นดั่ง input จึงไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าความรักจะจบลงหรือไม่ หรือจะจบลงเมื่อใด แม้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ชั่วกาลนิรันดร์ก็ตาม<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">หมายเหตุทางเทคนิค:</span> <ul><li>บทความนี้เขียนในแง่อุปมาอุปมัย ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นบทพิสูจน์ที่ถูกต้องรัดกุม ซึ่งความจริงแล้วการจะพิสูจน์ว่า halting problem for love (HPL) is undecidable นั้น จะต้อง define love ให้ดีเสียก่อน (ซึ่งผมไม่ได้ define) และจะต้องพยายาม reduce ปัญหาจาก halting problem for Turing machine (HPTM) มาเป็น HPL ให้ได้ ... ซึ่งอาจจะดูงงๆ<br /></li><li>แม้ว่า HPL จะ undecidable จริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหานี้จะไม่มีทางได้รับคำตอบไปเสียทุกกรณี </li><ul><li>ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะพบกับ Turing machine (TM) เครื่องหนึ่งซึ่งเมื่อได้รับอินพุตแบบบหนึ่ง จะกระโดดเข้าสู่ infinite loop อย่างเห็นได้ชัด ในกรณีนี้ แม้ HPTM จะ undedicable แต่เราก็สามารถตอบได้ว่า TM เครื่องนี้จะไม่ terminate บนอินพุตนี้<br /></li><li>ฉันใดก็ฉันนั้น เราอาจจะได้พบใครคนหนึ่ง และค้นใจตัวเองจนพบว่า คนคนนี้ทำให้เรากระโดดเข้าสู่ infinite loop เราก็จะตอบได้ชัดเจนว่า เราจะรักคนคนนั้นตลอดไป<br /></li><li>...หรือคนบางคนอาจมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราต้องกระโดดเข้าสู่คำสั่ง exit(0); <span style="font-size:78%;">-- หรือบางทีก็ exit (-1); --</span> นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง <span style="font-weight: bold;">:P</span><br /></li></ul><li>เนื่องจาก HPTM บน blank tape (TM with no input) ก็ undecidable เช่นเดียวกัน เราอาจจะขยายผลได้ว่า HPL with no lover ก็คงจะ undecidable เหมือนกัน ... หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง: คนที่เป็นโสดอาจจะตอบไม่ได้ว่าตัวเองจะต้องเป็นโสดไปอีกตลอดไปหรือไม่ </li><li>เวรกรรม! -__-<br /></li></ul><a href="http://mocksk.blogspot.com/2006/02/functional-love.html">[link to last-year valentine's article]</a>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-14956331142830132412007-01-30T02:15:00.000-05:002007-01-30T21:27:42.639-05:00food diaryเห็นกวางเขียน <a href="http://kwang8.spaces.live.com/Blog/cns%21EC4C277019FC12DB%21485.entry?owner=1">food blog</a> โดยได้ไอเดียจากพี่แจ ก็เลยจะลองเขียนดูบ้าง แต่คงไม่ทำต่อเนื่อง แค่ทำตามกระแสสนุกๆ<br /><br /><span style="font-weight: bold;">วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2550</span><br />> pre-breakfast: Frappuccino Mocha หนึ่งขวด, Centrum, 500mg of vitamin C @ <a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/YourPlace/photo#4972641434838761490">my bed</a><br />> breakfast: banana muffin @ <a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/CateSchool/photo#4986040179157499922">Cate School</a> [ขอบคุณน้องแหวน]<br />> lunch: ข้าวผัดหมู @ <a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/YourPlace/photo#4972641698564014098">ร้าน Your Place</a><br />> afternoon snacks: 1/2 bag of Taro [ขอบคุณแก้ว], <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/In-N-Out_Burger">In-N-Out</a> french fries<br />> dinner: ข้าวหน้าปลาไหล, ไอติมชาเขียว @ ร้าน <a href="http://www.santabarbara.com/dining/review_read.asp?pk_restaurant=881">Itsuki</a><br />> midnight: Vitamilk<br /><br /><span style="font-weight: bold;">วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2550</span><br />> pre-breakfast: Double Shot, Centrum, 500mg of vitamin C @ my bed<br />> breakfast: Vitamilk ในรถ<br />> lunch: กระเพราไข่เยี่ยวม้า กุ้งแช่น้ำปลา คอหมูย่าง พะแนงไก่ @ <a href="http://www.la.com/dining/asianpanasiansushi/ruenpair/37266">ร้านเรือนแพ</a><br />> afternoon snack: orange smoothies @ <a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/Hollywood/photo#5025372799905614882">Kodak Theatre</a><br />> dinner: fish tempura @ <a href="http://www.japaneserestaurantinfo.com/oomasa/">Oomasa</a> in Little Tokyo<br />> evening snack: 1 cookie @ บ้านพี่น้ำมน<br />> midnight: chocolate cup cake (from <a href="http://local.yahoo.com/details?id=20377111">Nijiya Market</a> in Little Tokyo)<br /><br /><span style="font-weight: bold;">วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2550</span><br />> pre-brunch: Centrum, 500mg of vitamin C @ my bed<br />> brunch: <a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/Hollywood/photo#5025373392611102098">กระเพราเป็ด</a> จาก<a href="http://dine.com/restaurants/rid/172773/index.html">ร้านรสเด็ด</a><br />> afternoon snack: a box of p'Nammon's cookies [ขอบคุณพี่น้ำมน]<br />> dinner: ไข่เจียวหมูสับ แกงเป็ดย่าง ปลาเปรี้ยวหวาน ลาบไก่ หมูผัดกะหล่ำ หมี่กรอบ ไอติมกะทิ & กล้วยทอด @ ร้าน <a href="http://www.yourchoicethairestaurant.com/">Your Choice</a> [ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่น้องจ๊อบ :)]<br /><br /><span style="font-weight: bold;">วันอังคารที่ 30 มกราคม 2550<span style="color: rgb(255, 102, 102);"> </span></span><br />> breakfast: Double Shot, Vitamilk, Centrum, 500mg of vitamin C @ my bed<br />> lunch: 1.5 portions of <a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/Hollywood/photo#5025373418380905890">กระเพราขาหมู</a><br />> dinner: หมูผัดผัก (homemade), another Vitamilk, another 500mg of vitamin C <a href="http://picasaweb.google.com/panuakdet/Hollywood/photo#5025373418380905890"></a>mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-42767874533796364502007-01-25T01:53:00.000-05:002007-01-25T01:54:48.094-05:00ขนาดกระดาษ & จำนวนรูคนไทยใช้กระดาษขนาด A4 (210 x 297 mm)<br />คิดเป็นพื้นที่ 62370 mm^2<br /><br />คนอเมริกันใช้กระดาษขนาด letter (216 x 279 mm)<br />คิดเป็นพื้นที่ 60264 mm^2<br /><br />(ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Paper_size)<br /><br />กระดาษ letter ขนาดกว้างกว่า แต่สั้นกว่า<br />โดยรวมแล้วพื้นที่น้อยกว่า A4<br /><br />น่าแปลกที่ว่าเวลาเราเอากระดาษ A4 ใส่แฟ้ม (แบบที่มีขายในประเทศไทย) เราเจาะรูเพียงแค่ 2 รู แต่แฟ้มในอเมริกาสำหรับกระดาษ letter บังคับให้เจาะรูถึง 3 รู<br />- กระดาษ A4 ในแฟ้ม 2 รู คิดเป็น 31185 mm^2 ต่อรู<br />- กระดาษ letter ในแฟ้ม 3 รู คิดเป็น 20088 mm^2 ต่อรู<br /><br />ดังนั้นก็แสดงว่ากระดาษในแฟ้มแบบไทยมีโอกาสที่จะขาดและหลุดออกจากแฟ้มได้ง่ายกว่ากระดาษในแฟ้มแบบอเมริกัน<br /><br />...<br /><br />ก็เป็นอันว่า ในเรื่องของขนาดกระดาษและจำนวนรูในแฟ้ม ผมขอยกย่องอเมริกา แต่ในเรื่องของหน่วยการชั่ง-ตวง-วัด อื่นๆ เช่น<br />- ฟุต/ยาร์ด/ไมล์ vs. เซนติเมตร/เมตร/กิโลเมตร<br />- ฟาเรนไฮต์ vs. เซลเซียส<br />- pint/quart/gallon vs. ลิตร<br /><br />ผมยังมองไม่เห็นว่าอเมริกาเลือกใช้หน่วย (บ้าๆ) เหล่านี้ไปทำไม???<br /><br />เฮ่อ แต่ก็ยังดี อย่างน้อยเขาก็ยังบอกเวลากันเป็น วินาที นาที ชั่วโมง วัน ...<br />ไม่อย่างนั้นคงปรับตัวเข้าหากันยากกว่านี้!mockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com9tag:blogger.com,1999:blog-11905267.post-1163918272457805632006-11-19T01:35:00.000-05:002006-11-19T01:48:51.056-05:00Bangkok Tattoo<span style="font-weight: bold;">Bangkok Tattoo</span><br />by John Burdett<br /><a href="http://www.amazon.com/Bangkok-Tattoo-John-Burdett/dp/1400040450">http://www.amazon.com/Bangkok-Tattoo-John-Burdett/dp/1400040450</a><br /><br />เมื่อวันอังคารที่แล้ว ผมแวะเดินเล่นที่ร้านหนังสือ Borders ก็พบกับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Bangkok Tattoo<br /><br />อ่านปกหลังดูก็พบว่าเป็นนิยายฆาตรกรรมซ่อนเงื่อน เหตุเกิดในกรุงเทพฯ ผู้ตายเป็นชายชาวอเมริกัน หญิงโสเภณีที่อยู่กับผู้ตายในคืนวันเกิดเหตุจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างไม่ต้องสงสัย<br /><br />แต่เรื่องมันก็ซับซ้อนขึ้นเนื่องจากตำรวจในพื้นที่เป็นลูกของเจ้าของ "สถานบริการ" ที่หญิงคนนี้ทำงานอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็น "พนักงาน" ที่ทำรายได้ดีที่สุดในสถานบริการแห่งนั้นอีกด้วย! นายตำรวจจึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะกลบเกลื่อนความผิดให้เธอ เขียนสำนวนคำให้การเป็นว่าเธอทำไปเพื่อป้องกันตัวเอง เพราะผู้ตายพยายามจะทำร้ายเธอ<br /><br />เรื่องกลบเกลื่อนนี้คงจะแนบเนียนพอถ้าหากว่าผู้ตายไม่ใช่สายลับ CIA<br /><br />แต่ผู้ตายเป็นสายลับ CIA!<br /><br />CIA จึงส่งเจ้าหน้าที่มาสืบสวนเพิ่มเติม และพบช่องโหว่ในคดี นายตำรวจไทยจึงต้องหา "แผน B" อย่างชาญฉลาด (หรือเปล่า?) โดยการโยนความผิดไปให้กับผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ของประเทศไทย!<br /><br />เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป? แผนการกลบเกลื่อนจะดำเนินไปได้หรือไม่? แท้ที่จริงแล้วใครเป็นฆาตรกร? เชิญไปอ่านเอาเอง<br /><br />.........<br /><br />ผมอ่านจบแล้วในวันนี้ ขณะกำลังนั่งรอเครื่องซักผ้า<br /><br />จึงคิดได้ว่า จะสัมภาษณ์ตัวเองสักหน่อย เกี่ยวกับความรู้สึกที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม:</span> ซื้อมากี่บาท? คุ้มเงินหรือเปล่า?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ:</span> ราวๆ $13 คุ้มมากๆ ครับ สนุกมาก ผู้เขียนเข้าใจมุมมืดของสังคมไทยดีมาก และเขียนเสียดสี/กระแทกแดกดันสังคมได้อย่างขบขันและเจ็บปวด ภาษาที่ใช้ก็เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อ่านแล้วรู้สึกเหมือนถูกกวนโอ๊ยอยู่ตลอดเวลา<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม: </span>แนะนำให้คนอื่นอ่านไหม?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ: </span>แนะนำให้คนไทยที่อายุเกิน 18 ปีอ่าน จะได้รู้ว่าเมืองไทยมีชื่อเสียงด้านไหนบ้าง (โสเภณีหญิง/ชาย/กระเทย คอรัปชั่้นในวงการตำรวจ/ทหาร วัดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธศาสนาแบบผิวเผิน ฯลฯ) ส่วนชาวต่างชาติไม่อยากแนะนำให้อ่าน (เพราะอายแทนประเทศไทย)<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม: </span>หนังสือเล่มนี้เขียนประจานด้านมืดของประเทศไทย อ่านแล้วโกรธไหม?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ: </span>ไม่โกรธ แต่เจ็บปวด เรื่องนี้เป็นนิยาย แต่เขียนอยู่บนพื้นฐานของชื่อเสียงที่รู้กันอยู่แล้วโดยทั่วไปของประเทศไทย คนไทยต่างหากที่สร้างชื่อเสียงเสียๆ เหล่านี้ขึ้นมา ถ้าจะโกรธก็ควรจะโกรธตัวเองมากกว่าโกรธผู้เขียน อีกอย่างหนึ่งในบทสุดท้ายผู้เขียนยังอุตส่าห์เขียนไว้อย่างน่ารักด้วยว่า "กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ และเมืองใหญ่ทุกเมืองก็มีธุรกิจทางเพศด้วยกันทั้งนั้น ความจริงปริมาณธุรกิจนี้ในประเทศไทยต่อจำนวนประชากรยังต่ำกว่าอีกหลายประเทศด้วยซ้ำไป คนไทยส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตตามศีลธรรมของพระพุทธศาสนา และนักท่องเที่ยวหลายคนก็สามารถสนุกกับประเทศไทยโดยไม่ต้องสัมผัสกับมุมมืดที่ว่าแต่อย่างใด ..." (แปลแบบสรุปความ ไม่ได้แปลตามตัวอักษร)<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม:</span> คิดว่าเราจะช่วยกันลดชื่อเสียงเสียๆ ของประเทศไทยได้อย่างไร?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ:</span> ผมไม่ใช่รัฐมนตรี<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม: </span>สรุปแล้วใครเป็นฆาตรกร?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ: </span>ไปอ่านเอาเอง<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม: </span>แล้วผู้หญิงคนนั้นรอดหรือเปล่า?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ:</span> ไปอ่านเอาเอง<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม:</span> ถ้าผมอยากอ่าน มีคำแนะนำอะไรไหม?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ:</span> ถ้าคิดจะอ่านโปรดทำใจให้กว้าง และเตรียมใจรับความเจ็บปวดที่เกิดจากเนื้อหาไว้ก่อน เพราะผู้เขียนกัดเจ็บมาก และที่เจ็บปวดยิ่งกว่าก็คือเมื่อเราคิดว่า "ที่เขากล่าวหาประเทศเราอย่างนี้มันจริงหรือเปล่า?" แล้วคำตอบลึกๆ ในใจของเราก็คือ "เอ้อ ... มีส่วนจริงว่ะ"<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม:</span> อยากทิ้งท้ายอะไรไหม?<br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ:</span> ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ควรแนะนำให้เพื่อนฝรั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะเนื้อหาเป็นเรื่องน่าอายของประเทศไทย (ถึงแม้จะเป็นแค่นิยายก็ตาม) และไม่ควรไปพูดประจานหนังสือเล่มนี้เป็นการใหญ่โตด้วย เพราะจะยิ่งเป็นการโฆษณาให้เขาไปเสียอีกmockhttp://www.blogger.com/profile/17733280011514984816noreply@blogger.com2