Tuesday, August 12, 2008
:: วันแม่++ ::
ผมใส่เสื้อขาว กางเกงขาสั้นสีแดง มีสายสีแดงสองสายคาดกางเกงไว้กับหัวไหล่เพื่อไม่ให้กางเกงหลุด มองซ้าย-มองขวา เห็นเพื่อนๆ ยืนอยู่ในแถวหน้ากระดานเดียวกัน ทุกคนใส่ชุดแบบเดียวกันหมด .. เอ ไม่ใช่สิ พวกผู้หญิงใส่กระโปรง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงต้องใส่กระโปรง ผู้ชายต้องใส่กางเกง แต่ไม่เป็นไร นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ผมสงสัยที่สุดในวันนี้ ... มองซ้าย-มองขวา อีกครั้ง ... เอ๊ะ เพื่อนผู้ชายคนอื่นมันมีโบสีแดงที่กระดุมคอเสื้อด้วยแฮะ แต่ทำไมผมไม่มี? ผมลืมใส่มาหรือ? หรือว่าผมทำหายไปไหนเมื่อไหร่? หรือว่าโดยปกติผมก็ไม่เคยมีโบสีแดงอยู่แล้ว? ผมไม่รู้ ผมไม่เคยแต่งตัวเอง ผมไม่เคยกินข้าวเองโดยไม่มีคนป้อนหรือบังคับ ผมก็เลยไม่รู้เลยว่าผมเคยมีโบสีแดงหรือไม่ ตอนนี้รู้แต่ว่า คนอื่นๆ มี แต่ผมไม่มี .. แต่ไม่เป็นไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสงสัยมากที่สุดในวันนี้


วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ผมได้ยินเสียงคุณครูประกาศว่าอย่างนั้น และครูก็พูดอะไรไปเรื่อยๆ และอยู่ดีๆ เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ร้องเพลงเพลงนึงขึ้นมา และผมก็ขยับปากร้องตาม ผมก็ร้องไปอย่างนั้นเองตามที่เคยได้ยินมา ร้องได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่มีใครถือสา เนื้อเพลงบอกว่า "แม่นี้มีบุญคุณ" อะไรสักอย่างนี่แหละ ผมไม่ได้ใส่ใจในความหมายของมัน รู้แต่ว่าตัวเองมีหน้าที่ร้องก็ร้องไป ผมและเพื่อนๆ ยืนร้องอยู่บนเวที ส่วนข้างล่างเวทีเป็นพวกครูๆ และคนแปลกหน้าเยอะแยะ


สักพัก พอเพลงจบ ผมก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งสวัสดีคุณแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างล่าง สักพักเพื่อนอีกคนก็มองเห็นแม่ตัวเองและสวัสดีบ้าง บางคนแม่ก็วิ่งเข้ามาหน้าเวทีให้ลูกเข้าไปไหว้ใกล้ๆ บางคนก็โบกไม้โบกมือกันห่างๆ 


"อ้าว! มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ???" ...​ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมสงสัย!


ที่แท้คนแปลกหน้าข้างล่างต่างเป็นเหล่า "แม่ๆ" ของลูกๆ นักเรียนอนุบาล 1 รร.นารานุบาล (จ.ชลบุรี) ซึ่งมาร่วมชมการร้องเพลง​ "ค่าน้ำนม" ที่ผมและเพื่อนๆ ได้ร้องไป ทีแรกผมนึกว่าแม่ทุกคนคงถูกเชิญมา จึงมองหาแม่ตัวเองบ้าง มองไปทางโน้นก็ไม่เจอ ทางนี้ก็ไม่เจอ มองหายังไงยังไงก็หาไม่เจอ จึงนึกไปว่า โอโห คุณแม่(ของเรา)ใจร้ายจังเลย คุณแม่คนอื่นเขามากันหมด แต่ทำไมคุณแม่ถึงไม่มา?!??!??!?


... ง่าๆๆ เง่อๆๆ เฮ่อๆๆ ฮือๆๆ​​ ...​ แงๆๆ


ผมร้องไห้


นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ในวันแม่แห่งชาติ


และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้ในวันแม่แห่งชาติเช่นเดียวกัน


ใช่แล้ว! ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะซาบซึ้งในพระคุณแม่ ผมเด็กเกินไปที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้ ผมร้องไห้เพราะโกรธคุณแม่ต่างหากที่ไม่มาร่วมงาน .. ตอนเด็กๆ ผมมักจะร้องไห้เสมอๆ ในทุกๆ คร้ังที่ไม่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เมื่อใดที่ผมโดนคุณแม่บังคับป้อนข้าว ผมร้องไห้,​ เมื่อใดที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอคุณแม่ในระยะเอื้อมมือถึง ผมร้องไห้, เมื่อใดที่อยากได้ของเล่นแล้วคุณแม่ไม่มีสตางค์ซื้อให้ ผมร้องไห้, เมื่อใดก็ตามที่ผมอารมณ์ไม่ดี แล้วไม่รู้จะโทษใครดี ผมโทษคุณแม่ แล้วผมก็ร้องไห้!


วันนั้นคุณแม่ไม่ได้มาร่วมงานวันแม่ที่โรงเรียนนารานุบาลก็เพราะคุณแม่ต้องขายของที่ริมหาดบางแสนทุกวัน เพื่อหาเงินเลี้ยงลูกสามคน และเพื่อจ่ายค่าเทอมโรงเรียนอนุบาลให้กับผม คุณแม่ต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นวันแม่ วันลอยกระทง วันปีใหม่ หรือวันเกิดคุณแม่ คุณแม่ก็ไม่เคยได้หยุด


- - - - - 


ผมใส่เสื้อสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากี เสื้ออยู่ในกางเกง คาดเข็มขัดสีน้ำตาลหัวทองเหลือง ผมยืนเป็นคนที่สามจากหัวแถวนักเรียนชาย ผมเป็นนักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนจันทรวิทยา (เขตคลองสาน,​ กรุงเทพฯ) ที่เกือบจะตัวเล็กที่สุดในห้อง


ปีต่อมา ผมเป็นเด็ก ป.4, ปีต่อมาเป็นเด็ก ป.5, ปีต่อมาเป็นเด็ก ป.6


วันที่ 12 สิงหาคม ของปี 34, 35, 36 เป็นฉากเดียวกันทั้งสามปี


ทุกคนร้องเพลง "ค่าน้ำนม", มีคุณครูพูดสอนถึงพระคุณแม่, มีเพื่อน/รุ่นพี่ นักเรียนออกไปอ่านกลอนวันแม่ อ่านเรียงความเรื่องพระคุณแม่, มีพระอาจารย์เทศนาสอนเรื่องพระคุณแม่ ..​ บางทีก็มีการให้นักเรียนหลับตาสงบนิ่ง ขณะที่มีการเล่าเรื่องตัวอย่างของแม่ที่เสียสละ อดทนลำบากเลี้ยงลูกหลายคน เรื่องของลูกที่ไม่ค่อยจะเอาไหน แต่พอโตขึ้นมาก็สำนึกในพระคุณแม่ ...ในวันที่สายเกินไป 


หลายคนร้องไห้


บางคนปล่อยโฮต้ังแต่ยังไม่เริ่มบรรยาย .. ผมมองว่าเพื่อนกลุ่มนี้คงจะ 1) มีจินตนาการส่วนตัวที่สูงมาก ประกอบกับจิตใจที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง หรือไม่ก็ 2) ผิดคิว (อย่างแรง) 


บางคนก็ยืนนิ่ง ทีแรกทำท่าเบื่อๆ เหมือนโดนบังคับให้ฟัง แต่พอฟังไปสักพักก็เริ่มคลายทิฏฐิ มีน้ำตาคลอเบ้า และเพิ่มปริมาตรน้ำตาขึ้นเรื่อยๆ พอจบเรื่อง (ซึ่งมักจบอย่างเศร้าๆ) ก็ปล่อยโฮออกมาเต็มพิกัด


บางคนก็ฟังไปเรื่อยๆ โดยยังไม่มีอาการอะไร แต่พอเรื่องราวพาดเกี่ยวไปตรงหรือเฉียดกับชีวิตส่วนตัวของตนเอง ก็ร้องไห้ฟูมฟาย เหมือนกับว่าโดนจี้จุด


นักเรียนแต่ละคนมีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สังเกตได้ก็คือว่า พอเสร็จสิ้นจากการบรรยายทั้งปวงแล้ว แทบทุกคนจะต้องทำหน้าซึมๆ และมีร่องรอยของน้ำตาบนใบหน้าไม่มากก็น้อย บางคนก็เห็นแค่คราบน้ำตาซึมๆ ที่ขอบตา บางคนก็เละเทะเต็มใบหน้า บางคนก็มีขี้มูกด้วยเพราะว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกันเลยทีเดียว


แต่นักเรียนส่วนน้อยบางคน จะด้วยความขวางโลก ความท้าทาย ความไม่สำนึกพระคุณแม่ หรือด้วยความไร้จิตใจอย่างไรก็แล้วแต่ กลับมีสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีอาการซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแต่อย่างใด


ผมเป็นหนึ่งในคนกลุ่มน้อยเหล่านั้น


ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องร้องไห้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องมาบอกกันทำไมว่าแม่มีบุญคุณอย่างนั้นอย่างนี้ ในเมื่อผมรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคุณแม่ของผมเองทำสิ่งต่างๆ ให้กับผมมากกว่าแม่ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเรื่องเล่าใดๆ ทั้งสิ้น, เสียสละและเหนื่อยยากมากกว่าใครในโลกนี้ทั้งสิ้น, และเป็นผู้ให้โดยบริสุทธิ์ใจไม่หวังอะไรตอบแทนทั้งสิ้น ... เรื่องแบบนี้ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้อยู่แก่ใจได้เองมานานแล้ว ไม่น่าจะต้องมีการบอกกันเป็นคำพูด เป็นเรื่องยากที่อยู่ดีๆ ผมจะรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใดในเรื่องที่ผมรับรู้และระลึกถึงมาโดยตลอดทุกวันอยู่แล้ว


แต่บางครั้ง ผมก็ต้อง(พยายาม)ไหลตามน้ำ


ผมเข้าใจว่าคงไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำลายบรรยากาศ ผมรู้ว่าคงจะเท่ไม่น้อยหากผมจะร้องไห้เบาๆ ไปกับเขาบ้างเหมือนกัน ผมจึงพยายามสร้างอารมณ์ร่วมโดยการตั้งใจฟังและจินตนาการตามไปทุกฉากทุกตอนอย่างใกล้ชิด บางครั้งเรื่องราวก็สะกิดใจให้ซาบซึ้งได้จริงๆ แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้น้ำตาไหลได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ครั้นพอคิดถึงเรื่องตัวเองมันก็ยังไม่รู้สึกเศร้า เพราะการที่ระลึกถึงบุญคุณของคุณแม่ตัวเองนั้นมันทำให้รู้สึกดีใจ ดีใจที่เรามีแม่ที่ดีอย่างนี้ ที่เหนื่อยเพ่ือลูกขนาดนี้ ดีใจที่แม่สอนเราให้ขยันเรียน สอนให้พูดจาไพเราะกับผู้ใหญ่ สอนให้ซื่อสัตย์ สอนให้คิดเลขเป็น สอนให้อ่านภาษาไทยเป็น​ ฯลฯ ดังนั้นเราต้องตอบแทนพระคุณแม่ แต่ตอนนี้จะทำอะไรได้บ้างล่ะ?​ ก็คงได้แค่ขยันเรียน (ก็ขยันแล้วนะ) ไม่เกเรหนีเที่ยว (ก็ไม่มีปัญญาจะไปเที่ยวไหนอยู่แล้ว หลงทางประจำ) ประหยัดเงิน (ก็ประหยัดสุดๆ แล้วเพราะวันๆ ไม่ได้ใช้สตางค์เลย)​ .. ก็เป็นอันว่าตอนนี้ทำดีที่สุดแล้ว ลองวางแผนเผื่ออนาคตดู เราคงต้องเรียนให้สูงๆ หางานดีๆ ทำงานให้รวยๆ เอาเงินมาให้แม่ แม่จะได้พัก จะได้สบาย แต่ที่สำคัญกว่าเงินคือเราต้องซื่อสัตย์ ต้องมีสัจจะ เพราะเรื่องนี้แม่สอนไว้เสมอ แม่สอนโดยการทำตัวเป็นตัวอย่าง


...​ อ้าว! ฮึ้ย! คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว มันก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เป็นเรื่องที่ต้องยึดถือปฏิบัติ แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะรู้สึกเศร้าจนร้องไห้ ... เพื่อนๆ เขาร้องไห้กันใหญ่แล้ว เราจะทำอย่างไรดี เราจะต้องร่วมสร้างบรรยากาศนี้ให้ได้ เราต้องหาวิธี


ผมหาว


... โดยพยายามหุบปาก ทุกครั้งที่หาวน้ำตาจะไหลออกมานิดนึง พอหาวหลายครั้งเข้า ตาก็จะชุ่มๆ จมูกก็จะมีสีแดงเรื่อๆ คล้ายกับว่าเพิ่งร้องไห้มาเบาๆ เพราะซาบซึ้งในพระคุณแม่ พอเป็นพิธี 


เพื่อนๆ ก็สามารถมองกันได้อย่างไม่เคอะเขิน ทุกคนชื่นชมในความเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนของเพื่อนๆ ทุกคน


เป็นอันเสร็จพิธี


- - - - - 


ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีน้ำตาล ไม่ใส่เข็มขัด (เพราะอ้วนเกินไปจนพุงคับกางเกงแล้ว) ผมนั่งอยู่บนโซฟาสีขาว มองไปที่ทีวีจอแบนเครื่องสีดำซึ่งแขวนอยู่บนผนังห้องด้านหน้า


คุณแม่นอนอยู่บนเตียงข้างๆ คุณแม่ใส่เสื้อฟ้า กางเกงฟ้า ที่ขาเตียงมีล้อ บนเสื้อผ้าคุณแม่มีตรา "รพ.กรุงเทพพัทยา" ที่แขนคุณแม่มีสายน้ำเกลือ ในขวดน้ำเกลือมียาปฏิชีวนะและยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว


กว่า 26 ปีที่คุณแม่เลี้ยงผมมา และกว่า 55 ปีที่คุณแม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกายมาโดยตลอด ทำให้คุณแม่ต้องผ่านมลภาวะมากมาย ผ่านความเครียดนานับประการ ผ่านการทานอาหารที่อาจมีสารพิษตกค้าง ผ่านสารเคมีอันตรายจากการดำรงชีวิตอย่างเร่งรีบ  ที่ต้องดูแลลูกจนไม่มีเวลาดูแลตนเอง ...​ คุณแม่เป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ คุณหมอตรวจพบเมื่อ 5 เดือนกว่าๆ ที่แล้ว  คุณแม่รับการรักษามาเรื่อยๆ ด้วยการผ่าตัดตามด้วยยาเคมีบำบัดชนิดใหม่ล่าสุด ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์


คุณแม่ต้องรีบมาโรงพยาบาลเมื่อ 4 วันที่แล้วเนื่องจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ อันเป็นผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด ตอนนี้คุณแม่อาการดีขึ้นแล้ว แต่ก็หมดเรี่ยวแรง เบื่ออาหารมาก มือและแขนก็พรุนไปหมดจากการโดนเจาะเลือดและเจาะน้ำเกลือ


วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ


ผมนั่งดูรายการต่างๆ ทางโทรทัศน์ มีผู้คนออกมาพูดถึงพระคุณแม่กันมากมาย มีคนมาร้องเพลง "ค่าน้ำนม"​, เพลง "อิ่มอุ่น", และเพลงสำหรับแม่ต่างๆ มากมาย บางคนพูดไปร้องไห้ไป ร้องเพลงไปร้องไห้ไป เล่าเรื่องแม่ของตัวเองไป ก็ร้องไห้ไป


ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่จะรู้สึกว่ามีน้ำตาคลอเบ้า


ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องพยายามสร้างอารมณ์เศร้าอะไรอีกแล้ว ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องอาศัยใครให้มาบอกแล้วว่าแม่มีพระคุณกับผมอย่างไร ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ผมมีแทบทุกอย่างที่ผมต้องการ และคนที่ให้ผมมาก็คือคุณแม่ ... ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องการให้ใครมาบอกผมอีกแล้วว่าการเห็นคุณแม่ตัวเองเจ็บป่วยนั้น มันเจ็บปวดขนาดไหน


ผมทราบและรู้สึกดีว่าคุณแม่คนที่อยู่ข้างๆ ผมนี้ สำคัญและยิ่งใหญ่สำหรับผมสักเพียงไหน 


วันแม่มีปีนี้ผมก็ยังคงไม่ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะไม่ซาบซึ้งหรือไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวอะไร แต่เป็นเพราะความรู้สึกนั้นมันสูงเป็นล้นพ้น จน​ผมร้องไม่ออกต่างหาก


วันแม่ปีนี้ ผมอยากให้คุณแม่ผมหายป่วยครับ



Friday, August 08, 2008
:: Mom admitted in Bangkok Hopital Pattaya ::
/* เนื่องจาก free wifi ที่โรงพยาบาลให้ใช้เว็บได้อย่างเดียว ไม่สามารถใช้ FTP  ได้ ทำให้ไม่สามารถอัพเดตเว็บข่าวคุณแม่ที่ suwannatat.com/lek ได้โดยสะดวกในขณะนี้ จึงนำข่าวมาแปะไว้ที่นี่ไปพลางก่อน */ 

8 August 2008

เมื่อวานนี้คุณแม่อ่อนเพลีย นอนทั้งวัน ทานอาหารได้น้อย ตอนหกโมงเย็นมีไข้ 37.75 องศาเซลเซียส ทานยา tylenols สองเม็ด หลังจากนั้นสักพักลองวัดไข้ใหม่พบว่าไข้ลด (ต่ำกว่า 37) เวลาหัวค่ำคุณแม่มีอาการจุกท้อง ปวดท้องมาจนถึงตอนเช้า 

10:45 am วันนี้คุณแม่เพลียมาก ตื่นแล้วแต่ลุกจากเตียงไม่ไหว บ่นว่าจุกท้องมาทั้งคืน ไม่ยอมทานอะไรเลย วัดไข้ได้สูงถึง 39.45 องศาเซลเซียส! วัดใหม่อีกครั้งได้ 39.12 นับว่าเป็นไข้ที่สูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โทรปรึกษาพยาบาลที่ตึกหลิ่มซีลั่นชั้นบน รพ.จุฬาลงกรณ์ ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที 

11:00 am ทานยา tylenols สองเม็ด เตรียมตัวไปโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา 

11:45 am คุณแม่ไม่อยากไปโรงพยาบาล บอกว่าหายแล้ว จึงให้ทาน Ensure ไปหนึ่งแก้ว (เป็นมื้อแรกของวันนี้) ลองวัดไข้ดูอีกครั้ง พบว่าไข้ยังสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส จึงรีบมาที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา คุณหมอห้องฉุกเฉินส่งต่อให้หมออายุรศาสตร์ พ.ญ.​ สุมาลี คิวเจริญ คุณหมอสั่งตรวจเลือด CBC, เพาะเชื้อจากเลือด, ตรวจเอกซ์เรย์ปอด, ตรวจปัสสาวะ จากนั้น admit ที่ตึกใหม่​ ชั้น 10 ห้อง 10518 ให้น้ำเกลือ พยาบาลบอกว่าจะเฝ้าดูปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไปกับปริมาณปัสสาวะโดยให้ดื่มน้ำจากเหยือกที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น และให้ปัสสาวะลงในภาชนะที่เตรียมไว้เท่านั้น 

3:45 pm ทานยาลดไข้เม็ดกลมสีเหลือง สองเม็ด + ยาอื่นๆ (ยาที่มีอยู่เดิม) พยาบาลบอกว่าปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ (5 หมื่นกว่าๆ) ส่วนจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง บ่งบอกถึงการติดเชื้อ (มาทราบภายหลังจากแพทย์ว่าอ่านผลผิด (ดูด้านล่าง)) คุณแม่มีอาการหนาวสั่นมาก 

4:10 pm คุณแม่นอนหลับ หยุดสั่นแล้ว 

4:35 pm โทรไปที่หลิ่มซีลั่นบนอีกครั้ง พยาบาลบอกว่าโดยปกติการให้ยาปฏิชีวนะโดยการฉีดจะต้องนอนโรงพยาบาล 3-5 วัน แนะนำให้โทรปรึกษาหมอที่ว่องวานิช ชั้น 4 อีกครั้งก่อนมาโรงพยาบาลในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ 

4:40 pm โทรไปที่แผนกมะเร็งวิทยา ชั้น 4 ตึกว่องวานิช รพ.จุฬาลงกรณ์ เพื่อแจ้งข่าว พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าให้รักษาที่ รพ.กรุงเทพพัทยา ไปก่อนจนกว่าจะแข็งแรงดีแล้วจึงโทรไปทำนัดใหม่ที่ รพ.จุฬาฯ ส่วนที่นัดไว้วันจันทร์นี้คาดว่าคงจะไปไม่ทัน คงจะต้องยกเลิกนัดไปก่อน 

5:15 pm คุณแม่เพิ่งจะทานข้าวมื้อแรก เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่น้ำ (ซื้อจากข้างโรงเจ) ทานได้น้อย จากนั้นทานยาอมแก้เจ็บคอและฆ่าเชื้อเม็ดสี่เหลี่ยมสีเหลือง (Sigatricin Lozenge Tablet ประกอบด้วย Tyrothricin 1 mg, Benzocaine 1 mg, Benzethonium chloride 0.5 mg) 

5:40 pm พญ.สุมาลี แวะมาเยี่ยม คุณหมอบอกว่าจริงๆ แล้วคุณแม่มีเม็ดเลือดขาวน้อยมาก ราวๆ 1600 (ต่อไมโครลิตร?) ค่าปรกติต้องอยู่ที่ 4-8 พัน ดังนั้นคุณหมอจะให้ยาปฏิชีวนะโดยการฉีด ส่วนอาการจุกท้องซึ่งทุเลาลงแล้วน่าจะเกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับ สามารถใช้ยารักษาได้ ไม่น่ากังวลมากนัก 

6:00 pm คุณอาร์ท​ (คุณพรรณิภา พยาบาลวิจัยซึ่งดูแล case ของคุณแม่ที่ รพ.จุฬาฯ) โทรมาสอบถามข่าว ได้แจ้งข่าวไปแล้ว คุณอาร์ทกำชับว่าเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วให้ขอสำเนาแฟ้มประวัติรวมทั้งผลเลือดมาด้วย และให้โทรไปเพื่อทำนัดใหม่ 

6:15 pm คุณแม่จุกท้องมากอีกครั้ง พยาบาลนำยาเม็ดมาให้ 

7:00 pm คุณแม่มีอาการหนาวสั่น ตอนนี้มีขวดน้ำเกลือสองขวด พี่นัทบอกว่าพยาบาลมาฉีดยาแก้อักเสบให้แล้ว คุณแม่ห่มผ้าห่มสองผืนพร้อมแผ่นทำความร้อน 

8:00 pm พยาบาลแวะมาปูที่นอนให้ญาติ คุณแม่ยังคงหนาวสั่น 

9:00 pm คุณแม่ตื่นนอน ทานน้ำ 1 แก้ว ไม่หนาวสั่นแล้ว ไม่มีอาการจุกเสียดแล้ว คุณแม่บอกว่ารู้สึกสบายดี 

(...หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป...)

This page is powered by Blogger. Isn't yours?