Monday, October 31, 2005
:: วิธีปลดหนี้ ::
วิธีปลดหนี้

ข่าวที่ผมได้ยินมาจากหนังสือพิมพ์+ข่าวลือจากปากเพื่อนๆ ญาติๆ ก็คือว่ารัฐบาลไทยของเรากำลังจะมีแนวคิดใหม่ (อีกแล้ว) ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ด้วยวิธีที่ง่ายๆ ตรงไปตรงมา และคงจะได้ผลฉับพลันทันใดอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ "ลดหนี้" / "ยกเลิกหนี้" ให้กับลูกหนี้ไปซะเลย หรือถ้าเบาๆ หน่อยก็คือการพักชำระหนี้

ผมเองก็ไม่ค่อยจะทราบรายละเอียดว่าที่ว่าปลดหนี้/ลดหนี้ นี้เขาจะทำกันอย่างไร จะมีขอบเขตแค่ไหน และจะทำให้ใครบ้าง ... เอ แล้วเจ้าหนี้เขาจะเอาเงินคืนได้อย่างไร? รัฐบาลจะบังคับให้เจ้าหนี้ยกเลิกหนี้เอาดื้อๆ เลยได้หรือ? เอ... ถ้าทำอย่างนี้มันก็แย่นะ เท่ากับรัฐบาลช่วยลูกหนี้โกงน่ะสิ

เอ หรือว่าจะเป็นอีกทางเลือกนึง นั่นคือ รัฐบาลจ่ายเงินชำระหนี้แทนลูกหนี้ไปซะเลย .. เฮ้ย! ได้ไงฟะ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย? คำตอบ: เงินภาษีของบิดามารดา ญาติโกโหติกาของกระผมและของท่านผู้อ่านน่ะสิครับ (ส่วนผมยังไม่เคยจ่ายภาษีให้รัฐบาลไทย เคยแต่ใช้ภาษี ซึ่งก็กำลังใช้อยู่ในขณะนี้)

ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าพวกลูกหนี้พวกนี้ ไม่ว่าจะเคยกู้เงินมาทำอะไรก็ตาม (บางคนอาจกู้มาเสริมสวย มาดาวน์รถ มาแต่งงาน มาซื้อเหล้ากิน มาซื้อหวยบนดิน ฯลฯ) ตอนนี้เท่ากับว่าเงินที่กู้มานั้นกลายเป็นได้เปล่าซะนี่ เงินภาษีของพวกท่านแท้ๆ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาเอาไป!?!?

ดังนั้น ผมคิดว่า รัฐบาลคงจะต้องจ่ายหนี้แทนลูกหนี้ให้ไปก่อน แล้วให้ลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้คืนรัฐบาลในภายหลัง โดยอาจคิดดอกเบี้ยต่ำๆ เพื่อให้ลูกหนี้ลืมตาอ้าปากได้ ชาตินี้จะได้ใช้หนี้ได้หมดเสียที

เอ๊ะ ดีแฮะ ถ้าทำอย่างนี้ก็น่าจะดี เจ้าหนี้ก็ happy เพราะได้เงินคืน ลูกหนี้ก็ happy เพราะเท่ากับได้ลดดอกเบี้ย และอาจจะได้เงื่อนไขการผ่อนชำระที่ปรานีมากขึ้น ประชาชนผู้เสียภาษีก็ happy เพราะภาษีของพวกเขาไม่ได้ถูกนำไป "แจก" ให้กับคนกลุ่มลูกหนี้ แต่แค่ถูกนำไป "ให้ยืม" ก็เท่านั้นเอง

ประเทศทั้งประเทศโดยรวม ก็น่าจะ happy เช่นกัน เพราะคนจะเป็นหนี้น้อยลง => มีความสุขมากขึ้น => มีกำลังใจในการทำมาหากินมากขึ้น => เศรษฐกิจพัฒนาขึ้น

ฟังดูดีจังเลย ใช่ไหมล่ะ?

แต่จริงๆ แล้วววว มันไม่ใช่!!!! ข้อสรุปอันสวยงามในย่อหน้าที่ผ่านๆ มานั้นล้วนตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า "ลูกหนี้จะใช้หนี้รัฐบาลจนครบหมดทุกราย" โอ้วววว จอร์จ ฝันไปเถอะ!

ผมไม่ทราบนะครับว่าคำว่า "ลูกหนี้" ที่รัฐบาลจะดูแลด้วยนโยบายใหม่นี้จะครอบคลุมถึงลูกหนี้แบบไหนบ้าง? ธุรกิจต่างๆ? เกษตรกร? ครู? ข้าราชการ? หรือว่าประชาชนทั่วไป?

แต่กลุ่มคนที่ผมเป็นห่วงก็คือ "ประชาชนทั่วไป" นี่แหละครับ ถามว่าคนพวกนี้กู้เงินไปทำไม? คำตอบ: กู้ไปใช้ส่วนตัว อาจจะใช้ในแง่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง กลางๆ บ้าง เช่น จ่ายค่าเทอมลูก, ซื้อคอมฯ เครื่องใหม่, ซื้อเกมให้ลูกเล่น, ซื้อหวยบนดิน, ซ่อมรั้วหน้าบ้าน ฯลฯ คนพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้กู้ไปลงทุน แต่กู้ไปใช้จ่าย (เอ่อ อาจมีคนเถียงว่าการซื้อหวยบนดินเป็นการลงทุน เอ่อ..ผมจะเถียงตอบยังไงดี?) ดังนั้นโอกาสที่จะมีเงินใช้หนี้จึงค่อนข้างต่ำ หรือค่อนข้างขึ้นกับรายได้ในอนาคต(ซึ่งถ้าเอามาใช้หนี้หมด ก็อาจจะมีไม่พอใช้ ทำให้ต้องกู้ใหม่เป็นวงจรอุบาทว์ต่อไป)

คนพวกนี้มักกู้เงินจาก 1) เจ้าหนี้นอกระบบ หรือ 2) บัตรเครดิต ซึ่ง เหอะๆๆๆ เชื่อผมสิครับว่าเจ้าหนี้ทั้งสองแบบนี้เก่งไม่แพ้ใครเลยในการติดตามหนี้ ไปตามเช้า/เย็น/ค่ำ ตามไปเคาะประตูบ้าน ... เอ้อ! เจ้าหนี้บางรายถึงกับจ้างคนหน้าโหดๆ ใส่เครื่องแบบทหารเต็มยศ ถืออาวุธสงครามไปทวงเลยก็มี! (เขาให้เกียรติลูกหนี้น่ะครับ ก็เลยต้องแต่งตัวดีๆ ไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่อะไร .... หุๆๆ เชื่อมันเด่ะ)

ลำพังเจ้าหนี้มืออาชีพเช่นนั้นไปทวงด้วยสรรพกำลังทั้งปวง ด้วยวิธีการทั้งที่ถูกกฏหมายและก้ำกึ่งต่อกฏหมาย ลูกหนี้เขายังไม่จ่ายเลยครับท่าน! แล้วรัฐบาลเอาเงินไปให้กู้แบบนี้ มีหวังหรื๊ออออ? ว่าจะได้คืน ... แหม ระบบราชการเรายิ่งมีประสิทธิภาพสูงส่งอยู่ซะด้วยสิครับ

ตั้งแต่สมัย "ธนาคารประชาชน" แล้ว ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การออกสินเชื่อให้ประชาชนที่ไม่มีเครดิต ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยหน่วยงานของรัฐนั้นเป็นความเสี่ยงอย่างสูง สูงลิบลิ่ว

พ่อค้า แม่ขาย ช่างเสริมสวย ลูกจ้าง กรรมกร หมอนวด ฯลฯ ปกติเขาก็มีหนี้นอกระบบอยู่แล้ว พอมีธนาคารประชาชนมาเสนอให้กู้ เขาก็ต้องกู้สิครับ .. เอ่อ กู้มาแล้วทำอะไร? ก็อย่างที่บอก เจ้าหนี้นอกระบบเขาทวงหนี้เก่งกว่า ลูกหนี้พอได้เงินมา ก็เอาไปใช้หนี้นอกระบบเป็นอันดับแรก

แล้วอย่างนี้จะเหลือเงินที่ไหนมาลงทุน!?

ผลที่ตามมา: แล้วจะเอาตังค์ที่ไหนไปใช้หนี้ธนาคารประชาชน?

เฮ่อ .. ลูกก็จะเปิดเทอม พระท่านก็บอกเลขเด็ดงวดใหม่มา ต้องรีบซื้อ ต้องรีบซื้อ จะเอาเงินจากไหนดีฟะ? กู้ธนาคารประชาชนเพิ่มก็คงไม่ได้ หนี้เก่ายังไม่ได้ใช้เขาเลย ทำไงดี? อ้ออออ ก็เจ้าหนี้นอกระบบนี่แหละ เย้ๆๆๆ กู้เพิ่มดีก่า จะได้มีตังค์ใช้

เอ่อ ... ผลสุดท้าย ประชาชนเป็นหนี้มากกว่าเดิม แต่ก่อนมีแต่นอกระบบ (กับบัตรเครดิต) เดี๋ยวนี้มีในระบบอีกด้วย ... วันนี้รัฐท่านจะมามีนโยบายจ่ายหนี้แทนประชาชนให้อีก เอ้อ ประชาชนก็ยิ่งเป็นหนี้รัฐเยอะเข้าไปใหญ่ และอย่าหวังเลยว่าเขาจะหยุดอยู่แค่นั้น พอรัฐเคลียร์หนี้เก่าไป หวยงวดใหม่จะออก ประชาชนต้องการเงินซื้อหวย ก็ต้องไปกู้มาจากนายทุนอีกนั่นแหละ!!

เอ้อ ... แล้วก็หวังไปเหอะว่าจะมีเงินมาชำระหนี้รัฐบาล หวังไปเถอะว่าเงินภาษีเหล่านั้นจะได้รับการจ่ายคืน

เฮ่อ เศร้านะ แทนที่จะแก้หนี้ กลับกลายเป็นเพิ่มหนี้ ยิ่งเอาเงินไปแจก ยิ่งทำให้คนยากจน

คนเราถ้าไม่ได้รับการศึกษา ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยการใช้จ่าย มีคนเอาเงินมาให้เท่าไหร่มันก็ยังเป็นหนี้ได้อยู่ดี ยิ่งเดี๋ยวนี้มีของยั่วใจเยอะ มือถือออกโปรโมชั่นใหม่ ออกรุ่นใหม่ๆ ประจำ ส่วนหวยบนดิน ก็มีเงื่อนไขจูงใจน่าซื้อเหลือเกิน มิหนำซ้ำกองสลากยังทำโฆษณาทีวีมาให้เรารู้สึกว่า "ซื้อหวยนี่ได้บุญเนอะ, หวย==ความดี เนอะ" คนก็ยิ่งต้องหาเงินมาซื้อ มาจับจ่ายใช้สอยให้มากขึ้น

----------------------
"เฮ้ยๆๆๆ นี่แกด่ารัฐบาลแล้วแกมีวิธีที่ฉลาดกว่ารัฐบาลหรือเปล่า?" บางท่านอาจจะถาม

คำตอบก็คือ "ผมก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน ... แป่ว!"

ผมรู้แต่ว่าวิธีของรัฐบาลไม่น่าจะใช่ทางออก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าวิธีไหนจึงจะเป็นทางออก

แต่ผมก็มีอะไรบางอย่างในใจ ที่มันจั๊กจี้ใจผมมานาน สิ่งๆ นั้นมีหนึ่งพยางค์ สามตัวอักษร มันเป็นสาเหตุแห่งความยากจนของหลายครัวเรือน

ท่านเดาถูกแล้ว .. มันคือ "หวย"

ดูเหมือนผมจะบ่นเรื่อง "หวย" มากเหลือเกิน? ผมต้องการอะไรจากมัน

เปล่าหรอกครับ ผมไม่ต้องการให้ยกเลิกหวยบนดิน เพราะผมก็รู้ว่าถ้าทำอย่างนั้นมันก็ต้องมีหวยใต้ดินตามมา บอกแล้วไง ผมไม่รู้จะทำยังไง

ผมรู้แต่ว่า ผมเกลียดไอ้ "หวย" นี่เหลือเกิน

บ้านผมอยู่พัทยา ผมกล้าฟันธงเลยว่าคนพัทยาจนเพราะหวย

ข้อมูลที่ผมจะเล่าต่อไปนี้มาจากการพูดคุยกับเพื่อนบ้านบ้าง แม่ค้าในตลาดบ้าง เจ้าของ/พนักงานร้านอาหารต่างๆ ที่เคยไปกินบ้าง ฯลฯ ... ได้ยินแล้วมันน่าตกใจ

รู้ไหมว่าพัทยาเป็นเมืองที่เงินสะพัดมาก เมืองนี้นักท่องเที่ยวเยอะ ทำอะไรก็ขายได้ ทำอะไรก็มีลูกค้า แค่คุณเปิดร้านขายอาหารเล็กๆ ข้างถนน คุณก็มีรายได้วันนึงเป็นพันบาทได้ (ไม่น้อยเลยนะ ... คิดดูละกัน เดือนนึงสามหมื่นบาท เยอะกว่าเงินเดือนที่ผมจะได้รับจากการกลับไปรับราชการหลังเรียนจบอีก) ดังนั้น คนพัทยา ขอเพียงให้มีงานทำและตั้งใจทำงาน ไม่อดตาย ไม่ลำบากแน่นอน

แต่คนพัทยา (โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า ทั้งที่ขายอาหาร และที่ขายของในตลาดสด ... ซึ่งคนคับคั่งทุกวัน!) เป็นหนี้กันเยอะมากๆๆๆๆ เพราะอะไร?

ใช่แล้ว! เพราะ "หวย"

คุณรู้ไหมว่าคนส่วนใหญ่เขาซื้อหวยกันราวๆ เดือนละกี่บาท? 20-30? ผิด! 100-200? ผิด! ... 1000-2000? เอ้อ! อาจจะถูก .. แต่ถ้าจะให้ดี ขอคาดคะเนว่า 3000-4000 บาทจะดีกว่า!!! (บางรายที่ครอบครัวผมรู้จัก ซื้อหวยเป็นหลักหมื่นด้วยซ้ำ)

เฮ้ย บ้าเหรอ? ทำไมเยอะอย่างนี้? ผมเคยถามตัวเอง และถามคุณแม่ คุณแม่ก็ตอบได้น่าคิดมาก... "ก็เค้ามีเงินเยอะนี่ลูก"

เปล่าๆ คำตอบไม่จบแค่นั้น คุณแม่ยังอธิบายต่อว่า คนพวกนี้คิดว่ารายได้ตัวเองเยอะแล้วก็จริง แต่ยังน้อยไป เพียงพอต่อชีวิตแล้วก็จริง แต่ยังไม่พอที่จะดาวน์รถคันใหม่, ที่จะซื้อมือถือรุ่นใหม่ๆ, ที่จะ ฯลฯ-ใหม่ ทางเดียวที่จะทำให้พอให้ได้ก็คือต้องรวย และทางเดียวที่จะมีโอกาสรวยก็คือซื้อหวย!

ซื้อน้อยจะรวยได้ไง? ก็ต้องซื้อเยอะๆ สิจะได้รวย

เอ้อ! เอาเข้าไป ... นอกจากนี้ ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่ง นั่นก็คือว่า ก่อนหวยออกสัก 3-4 วัน เราจะเห็นร้านค้า ร้านอาหาร แม่ค้าในตลาด ปิดร้านกันเป็นแถว เขาทำอะไรกัน?? จะซื้อหวยทำไมต้องปิดร้าน???

คำตอบ "เขารวมตัวกันเช่ารถตู้เพื่อไปหาเลขเด็ดจากพระเกจิชื่อดัง ณ ต่างจังหวัด"

โอ้พระเจ้ายอดมันจอร์จมาก!! ไม่น่าเชื่อแต่มันเป็นจริง พวกเขาเอาจริงเอาจังกับหวยขนาดนี้เลย

แต่ละงวดก็จะไปหาพระอาจารย์ท่านต่างๆ กันไป (แหม รู้จักกระจายความเสี่ยง) หรือพระท่านไหนดังมากก็จะไปหาบ่อยหน่อย ... พระส่วนใหญ่จะอยู่แถบภาคอีสาน แต่ก็มีบ้างที่อยู่ภาคเหนือ

ค่าเช่ารถ + ค่าน้ำมัน + ค่าที่พัก + ค่าทำบุญ(เพื่อหวังผลตอบแทน) + ค่า shopping ระหว่างเดินทาง + ค่าน้ำมนต์ + ค่าพระเครื่อง + ค่าของฝาก + ค่า ฯลฯ ... อย่างต่ำก็ 1000-2000 บาท

เมื่อลงทุน "ศึกษาข้อมูลการลงทุน" ไปขนาดนี้แล้ว จะให้ลงทุนน้อยกว่านี้ได้อย่างไร?! ดังนั้นตัวเลข 3000-4000 บาท, กระทั่งถึงหลักหมื่น จึงเป็นตัวเลขที่(คนเหล่านี้คิดว่า)เหมาะสมแล้ว

เฮ่อออ .. โถ่ถัง

คิดแล้วมันน่าจะเผากองสลากให้วายวอด คนไทยจะได้เลิกติดหวยซะที ... แต่อย่างที่ว่า มันไม่มีประโยชน์อะไร หวยใต้ดินก็จะโผล่มาแทนที่อยู่ดี

แล้วเราจะทำยังไง? นั่นสิ จะทำยังไงดี?

Sunday, October 30, 2005
:: คนไทยทะเลาะกัีน ::
ช่วงนี้อยากจะเขียนบทความเกี่ยวกับการเมืองบ้าง เกี่ยวกับนโยบายอะไรต่างๆ ของรัฐบาล ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่อยากจะพูดมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องของ 1) หนี้ และการพักหนี้/ยกเลิกหนี้ ของประชาชน และ 2) เสรีภาพสื่อ และจรรยาบรรณของสื่อ

แต่พอมาอ่านหนังสือพง หนังสือพิมพ์ ได้ยินข่าว + บทความ + ความคิดเห็น อะไรเยอะๆ เข้า ก็ยิ่งสับสน เกิดความอลหม่านในจิตใจ ไม่รู้ตูจะเชื่อใครดี ไม่รู้ตูจะเกลียดใครดี ไม่รู้ตูจะร่วมวงด่าใครดี รู้สึกว่าแต่ละฝักแต่ละฝ่าย ไม่ว่าเป็น ชาวบ้าน ชาวนา รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี นักหนังสือพิมพ์ ตลอดจนพระสงค์องคเจ้า ต่างพากันเปิดศึกด่าๆๆๆ กันให้วุ่นไปหมด

ก็ดีครับ จริงๆ ผมเห็นด้วยกับการแสดงความเห็นอย่างเสรี ตรงไปตรงมา ไม่เก็บกด ไม่เสแสร้ง หนังสือพิมพ์เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลในรัฐบาลก็ออกมาด่า ออกมาโวยวาย นายกเห็นนักหนังสือพิมพ์พูดจาเลอะเทอะ เกินเลย ก็มาด่าตอบ มาฟ้องเรียกค่าเสียหายสักสี่ร้อยห้าร้อย(ล้าน) ก็ว่ากันไป พระท่านเห็นนายก/รองนายก พูดจาไม่เข้าหู ก็ออกมาตักเตือนกันบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา (ถึงแม้ภาษาที่ใช้ตักเตือนออกจะดูน่าตกใจไปบ้างก็เท่านั้นเอง)

ควรจะเครียดไหม? บ้านเมืองมีแต่คนทะเลาะกันแบบนี้? โถๆ อย่าไปเครียดเลยครับ ทำใจให้สบายดีก่า คิดในแง่ดี คิดซะว่า ดีออกน่า คนไทยพูดคุยกันมากขึ้น จะได้เข้าใจกันมากขึ้นไงล่ะ ความแตกต่างทางความคิดเห็น เป็นชนวนทำให้เกิดการพัฒนามิใช่หรือ?

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้ ผมคิดว่าไม่ใช่อยู่ที่ว่าเราสับสนจนไม่รู้จะเชื่อใครดี .. แต่กลับอยู่ที่การที่เราอาจหลงคารมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนตกไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายนั้นโดยไม่รู้ตัวต่างหาก

หากเราหลงไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเต็มตัวในสถานการณ์การสาดโคลน(บางคนบอกว่ามันยิ่งกว่าสาดโคลน มันเหมือนสาด 2n+1 ซะมากกว่า) เช่นนี้ จะมีความเสี่ยงสูงมากที่เราจะใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล คิดฟุ้งซ่านต่อไป จนกระทั่งเราก็จะได้เข้าร่วมวงไพบูลย์ ช่วยกันสาดสิ่งปฏิกูลใส่อีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ยั้งคิด

เอ .. ใครบางคนอาจจะถาม "ก็อีกฝ่ายแม่งเลวจริงๆ? ผมสาด 1,3,5,7,... ใส่มัน เป็นการไล่มันออกไป ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?" ผมขอถามกลับ .. "เออ แล้วมันดีจริงๆ หรือ?"

ถ้ามีคนร้ายเข้ามาในบ้านคุณ แล้วคุณไล่เขาออกไปด้วยวิธีการนี้ สุดท้ายบ้านคุณจะเหลืออะไร? ผมว่ามันจะเหลือแต่สิ่งที่ congruent กับ 1 ใน modulo 2 อยู่เต็มไปหมด .... นี่คงไม่ใช่สิ่งที่น่าพึงประสงค์เท่าไรนัก

...................
ดังนั้น .. พอมาคิดๆ ดู สิ่งที่เราควรทำขณะนี้ ก็คือทำใจให้เป็นกลาง มองโลกในแง่ดีไว้ก่อนว่าทุกคนคงปรารถนาดีกับประเทศชาติกันทั้งนั้น แต่ว่าแต่ละคนมีความเชื่อไม่เหมือนกัน
- บางคนอาจะเชื่อว่าประเทศชาติจะดีผู้คนต้องเชื่อฟังผู้นำ
- บางคนอาจเชื่อว่าประเทศชาติจะดีประชาชนต้องมีสิทธิ์ด่าผู้นำอย่างไร้ขอบเขต
- บางคนอาจเชื่อว่า การที่เขาจะพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เขาต้องเข้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล กองทัพ ศาสนา การไฟฟ้า สนามบิน ฯลฯ
- บางคนอาจเชื่อในหลักการกระจายอำนาจ เชื่อในความไม่น่าเชื่อถือในวิธีการรวมอำนาจไว้ที่คนคนเดียว
ฯลฯ

คนพวกนี้ บางคนเค้าไม่พอใจกันก็เลยด่าๆ กัน ก็เท่านั้นเอง

ด่าไปด่ามา เค้าอาจจะเข้าใจกันเองในที่สุดก็เป็นไปได้
เราเป็นประชาชนตาดำๆ ก็ยืนยิ้มๆ ดูอยู่ห่างๆ ไปเรื่อยๆ ดีกว่า

เกิดเป็นคนไทย ไม่มีวันอดตายหรอก
เดี๋ยวจะอดเมื่อไหร่ รัฐท่านก็เอาเงินมาแจกเราเอง 555 จะคิดมากไปทำไม!

Thursday, October 20, 2005
:: ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ::
เป็นครั้งที่สองแล้วพี่ผมพบกับชายวัยกลางคน (ค่อนไปทางปลายๆ) ท่านหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับเขาสักที ทั้งสองครั้งที่พบ สถานที่คือหน้าห้อง locker room ใน University Center (มีชื่อเล่นว่า UC) ของ CMU (ซึ่งในที่นี้ เป็นชื่อเล่นของ Carnegie Mellon University)

Locker room เป็นสถานที่สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของสำหรับผู้ที่มาออกกำลังกายในบริเวณ UC สถานที่นี้นับว่าแปลกหูแปลกตาสำหรับผม ซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย .. เอ่อ.. หรืออาจกล่าวได้ว่า "แทบไม่เคย" ออกกำลังกายด้วยความสมัครใจเลยสักครั้งก็คงได้ แต่ช่วงนี้ผมเริ่มมีความรู้สึกกลัวตาย อยากมีสุขภาพดีๆ กับเขาบ้าง ก็เลยมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งแทบทุกวัน (โดยสมัครใจ)

อย่างที่กล่าว ห้องนี้เป็นห้องที่ยังแปลกหูแปลกตาสำหรับผู้ใช้บริการหน้าใหม่อย่างผมอยู่ แต่มันกลับดูไม่แปลกหูแปลกตาสำหรับชายวัยกลางคนที่ผมกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับดูคล่องแคล่วและเชี่ยวชาญเส้นทางเป็นอย่างดี แม้จะมีบางครั้งบ้างที่เขาจะเดินชนผู้คนบางคนที่ไม่ทันระวัง

นั่นเป็นเพราะเขาตาบอด ใช่ครับ! เขาตาบอด

และใช่อีกนั่นแหละครับ! เขาเดินเข้ามาใน locker room เพื่อเปลี่ยนชุดไปเล่นกีฬา .. และกีฬาใดที่เขาเล่นท่านทราบไหมครับ? ทีแรกผมกับเพื่อนเดาว่าเขาคงจะมาวิ่ง แต่ที่ไหนได้ เขามาว่ายน้ำ!

เห็นชายตาบอดเดินมาว่ายน้ำด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีใครคอยดูแลช่วยเหลือแล้วมันพาให้ต่อมความซาบซึ้งในลูกกะตาของผมมันแทบจะทะลักออกมา ผมซาบซึ้งอะไร?

ข้อแรก ซาบซึ้งในความเก่ง ความมุ่งมั่น และความใส่ใจในสุขภาพของชายผู้นี้ (ซึ่งต่อไป ผมจะขอตั้งชื่อให้แกว่า "คุณน้านิรนาม" จะได้เอ่ยถึงได้สะดวกๆ) คิดดูสิครับ ขนาดเขาตาบอดเขายังอุตสาห์เดินมาถึง UC และเคาะไม้เท้าหา locker room จนเจอ ทั้งนี้ก็เพื่อมาว่ายน้ำออกกำลังกาย ผมมีมือมีตีนมีตามีหู มี ฯลฯ ครบถ้วนทุกอย่าง แต่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมากลับแทบไม่เคยคิดจะดูแลสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายเลย (กว่าจะสำนึกได้ก็เกือบสายไป)

ข้อที่สอง ผมซาบซึ้งในสังคมอเมริกัน ที่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะกฎหมายหรือเพราะจิตสำนึกของผู้คน หรือว่าทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ชีวิตของคนพิการที่นี่ ดูจะได้อยู่อย่างสุขสบายเหลือเกิน .. อ้อ! ไม่ใช่แค่สุขสบาย แต่ยังมี "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ครบถ้วนเท่าเทียมกับคนทั่วไป

เห็นแล้วให้รู้สึกนึกอิจฉาคนพิการที่อเมริกา แทนคนพิการในเมืองไทย

อาคาร สถานที่ ตลอดจนระบบการจราจรที่อเมริกานั้น เอื้อประโยชน์ต่อการอยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีของคนพิการทุกประเภทเป็นอย่างยิ่ง เริ่มตั้งแต่เดินออกจากบ้าน คนพิการทางขาสามารถนั่งรถเข็นอิเล็กทรอนิกส์แล้วแล่นไปตามทางเท้าที่ค่อนข้างเรียบและไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีท่อที่เปิดฝาไว้ ได้อย่างสบายใจ คนตาบอดก็สามารถเดินถือไม้เท้าสีขาวคลำทางที่คุ้นเคยไปได้เรื่อยๆ หากต้องข้ามถนน ขอเพียงแค่หยุดตรงทางข้ามแล้วกดปุ่ม รอเสียงสัญญาณ "กุ๊กกู่ กุ๊กกู่" ไฟทุกด้านของถนนก็จะเป็นสีแดง แล้วคนตาบอดก็จะข้ามได้อย่างปลอดภัย หรือหากแม้นไม่มีปุ่มกดอย่างนั้น ก็มีกฏจราจรอยู่แล้วว่าหากคนขับรถเห็นคนตาบอดต้องการเดินข้ามถนน รถจะต้องหยุดให้คนข้ามโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการถึงคนขาพิการ หรือคนตาบอดในประเทศไทยเดินไปตามท้องถนนสิครับ ... มันไม่ง่ายขนาดนี้เลย

อ้อ... สำหรับคนพิการที่มีรถขับ และมีคนขับรถให้ ก็จะได้รับการอำนวยความสะดวกในด้านที่จอดรถเป็นพิเศษ ที่จอดรถทุกแห่งจะต้องมีล็อตประมาณ 1-2 ล็อต ที่กันไว้สำหรับรถคนพิการ หากใครนำรถที่ไม่ได้จดทะเบียนคนพิการไปจอดละก็ มีหวังโดนปรับเป็นร้อย($)เลย

ครั้นเมื่อเข้ามาในอาคาร ทุกอาคารจะต้องมีทางให้รถเข็นสามารถขึ้นได้ จะต้องมีห้องน้ำคนพิการซึ่งออกแบบให้กว้างกว่าห้องน้ำทั่วไปและมีคันเหล็กให้เกาะยึดเพื่อไม่ให้ล้ม อย่างห้องอาบน้ำที่อยู่ติดกับ locker room ของที่นี่นั้น ก็จะมีห้องอาบน้ำสองห้องที่ทำไว้เป็นพิเศษสำหรับคนพิการ เป็นฝักบัวชนิดปรับความสูงต่ำของฝักได้ มีที่ให้นั่งอาบน้ำอีกด้วย

จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่จะเห็นคุณน้านิรนามเดินเคาะไม้เท้ามาว่ายน้ำได้โดยลำพัง แต่สิ่งที่น่าสงสัยและน่าขบคิดก็คือว่า คนพิการในเมืองไทยจะมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีสวัสดิภาพเช่นคนพิการในอเมริกาได้หรือไม่?

เรื่องสวัสดิภาพของคนพิการนั้น ถ้าวิเคราะห์ดูแล้วดูเหมือนว่าจะมีองค์ประกอบสองประการ
1. ความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต
2. ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

ข้อแรกนั้น หมายถึงว่า คนพิการต้องมีข้าวกิน มีที่อยู่ มีของใช้ที่จำเป็น และจะต้องสามารถไปไหนมาไหน และใช้บริการสาธารณสมบัติได้เท่าเทียมกับคนทั่วไป

ข้อที่สอง หมายความว่า คนพิการจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความภาคภูมิใจในศักยภาพของตนเอง สามารถประกอบอาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ จะต้องไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นตัวถ่วงของสังคม

คนพิการที่อเมริกานี้มีทั้งสองอย่าง การที่สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในที่สาธารณะถูกออกแบบมาให้คนพิการเข้าถึงได้ (Accessible) ทำให้คนพิการสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างสะดวกสบายตามสมควร นอกจากนี้ ยังทำให้คนพิการรู้สึกมีเกียรติ เพราะเขาช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องอาศัยคนจูง/คนอุ้ม ในทุกๆ ที่ที่ต้องการจะไป และที่สำคัญที่สุด ทำให้คนพิการมีโอกาสทำงานในองค์กรต่างๆ ได้เท่าเทียมกับคนทั่วไป เพราะสถานที่ทำงานนั้นเอื้อประโยชน์ให้เขาทำงานได้

เห็นภาพคุณน้านิรนามเดินมาว่ายน้ำคนเดียว แล้วมันทำให้อดไม่ได้ที่จะหลับตานึกถึงภาพคนตาบอดในเมืองไทย เขาจะมีสระน้ำที่ต้อนรับเขาเช่นนี้หรือไม่? สังคมไทยให้โอกาสอะไรกับเขาบ้างที่จะทำให้เขารู้สึกมีเกียรติมีศักดิ์ศรี? ผมเห็นมีเพียงแต่โควต้าล็อตเตอรี่ที่กองสลากมอบให้พวกเขา (= ให้พวกเขาได้มีโอกาสมอมเมาประชาชนคนอื่นด้วยรูปแบบหนึ่งของการพนันที่ผิดศีลธรรมแต่ชอบด้วยกฏหมาย) .. หรือนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เรามีปัญญาจะมอบให้???

This page is powered by Blogger. Isn't yours?