Sunday, October 10, 2010 |
Monday, February 23, 2009 |
Labels: biography, cancer, charity, dinner, tv
Monday, February 09, 2009 |
ผมถูกสอนว่า วันมาฆบูชาเป็นวันที่มี "สิ่งอัศจรรย์" เกิดขึ้น 4 ประการ (technical term: "จาตุรงคสันนิบาต")
1) พระอรหันต์ 1250 รูปมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
2) ทุกรูปเป็นพระที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ (technical term: "เอหิภิกขุ")
3) การประชุมเกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย
4) เป็นวันเพ็ญเดือนสาม (== เดือนมาฆะ)
เอ๊ะ .. มันน่าอัศจรรย์จริงๆ หรือ?
ข้อ 1: สาวกของพระพุทธเจ้ามีอยู่มาก 1250 ไม่ใช่ตัวเลขที่สูงจนน่าอัศจรรย์ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเลขสวย (1250 = 5*5*5*5*2 = 5^4 * 2) แต่ถ้าเป็น 3125 จะสวยกว่ามาก (3125 = 5^5)
ข้อ 2: พระพุทธเจ้าทรงบวชให้คนตั้งเยอะแยะ และไม่เป็นที่ชัดเจนว่่านอกจาก 1250 รูปซึ่งเป็นเอหิภิกขุนั้นแล้ว ยังมีพระอรหันต์รูปอื่นซื่งไม่ใช่เอหิภิกขุอยู่ในบริเวณนั้นอีกหรือไม่
ข้อ 3: การที่ท่านเหล่านั้นไม่ได้นัดกันไม่ใช่เรื่องแปลก ผมเชื่อว่าทุกวันย่อมมีพระอรหันต์มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเนืองนิจอยู่แล้ว อาจจะมีมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่วัน บางวันอาจจะมีร้อยรูป บางวันพันรูป บางวัน 1024 รูป บางวัน 2048 รูป ฯลฯ แต่เผอิญว่าวันนั้นมี 1250 รูป เลขสวยดี ก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา อีกทั้งในตำนานก็ไม่ได้บอกด้วยว่า 1250 เป็นจำนวนพระอรหันต์ที่มากที่สุดที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันเดียวกัน
อีกอย่าง ถ้าท่านเหล่านั้นนัดกันมาได้สิ ถึงจะน่าแปลก สมัยนั้นโทรศัพท์ก็ไม่มี จดหมายก็ต้องใช้ม้าเร็วส่ง ไม่มีรถยนต์ ไม่มี air mail ไม่มีอีเมลล์ ไม่มี facebook ไม่มี hi-5 การนัดกันคงจะยากกว่าการไม่นัดกัน
ข้อ 4: วันเพ็ญเกิดขึ้นทุกเดือน ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์อยู่แล้ว การที่วันนั้นเป็นวันเพ็ญยิ่งทำให้ข้อ 3 เสียความน่าอัศจรรย์เข้าไปอีก เพราะว่าวันเพ็ญเป็นวันที่มีแสงสว่าง เหมาะกับการเดินทาง เหมาะกับการนั่งฟัง lecture ยามค่ำคืน
ผมจึงนั่งงง ว่าวันนี้มีความสำคัญอย่างไรกันแน่?
...
"โอวาทปาติโมกข์" ใช่แล้ว! โอวาทปาติโมกข์!
ความสำคัญอีกประการหนึ่งของวันมาฆบูชาก็คือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมชื่อว่า "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "หัวใจของพระพุทธศาสนา" มีใจความสรุปคือ: 1) ทำดี 2) ละชั่ว 3) ทำใจให้ผ่องใส
ความจริงข้อนี้ไม่ได้ถูกจัดเป็นหนึ่งในสี่เรื่องอัศจรรย์ แต่ก็เป็นเรื่องที่ปรากฎในหนังสือเรียนพระพุทธศาสนาทุกเล่ม
ดังนั้นหากวันมาฆบูชาจะมีความสำคัญ ก็คงไม่ได้สำคัญที่สิ่งอัศจรรย์ข้างต้นเหล่านั้น แต่สำคัญที่ใจความข้อสุดท้ายนี้ต่างหาก ที่ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอันเป็น tag line / slogan / mission statement / motto / catch phrase / axiom / thesis statement ของพระพุทธศาสนา
การยกคำสอน "ทำดี ละชัว ทำใจให้ผ่องใส" ขึ้นเป็นหัวใจของศาสนานั้น ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่สั้น ง่าย ได้ใจความ สามารถแบ่งแยกลักษณะของศาสนาพุทธออกจากศาสนาอื่นได้อย่างชัดเจน ที่เห็นได้ชัดก็คือศาสนานี้เชื่อว่ามนุษย์สามารถ "เลือก" ที่จะทำหรือไม่ทำได้ด้วยตนเอง (เชื่อใน free will), ไม่ยึดมั่นในพระเจ้า (ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้า แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญ), และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับจิตใจ
แต่กระนั้น ... หากลองพิจารณาดูว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกวัน แสดงหลักธรรมต่างๆ อื่นๆ อีกมากมาย ทำไมวันที่พระองค์แสดงหลักธรรมข้ออื่นจึงไม่เป็นวันสำคัญบ้าง?
ผมจึงต้องนั่งงงต่อไป
...
wikipedia! ใช่แล้ว wikipedia!
ผมเก็บความงุนงงสงสัยมานานหลายปี แต่ผมไม่เคยวิกิพีเดียเรื่องนี้ดูเลยสักครั้งเดียว (ในที่นี้ "วิกิพีเดีย" เป็น verb) ผมจึงลองเข้าไปอ่านดู ก็พบว่า...
วันนี้เป็นวันเพ็ญเดือนมาฆะ (เดือนสาม) ครั้งแรกหลังการตรัสรู้ นับเป็นเวลา 9 เดือนพอดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องมีเหตุมีผลที่วันเพ็ญเดือนสามครั้งนี้จะมีความพิเศษมากกว่าวันเพ็ญเดือนสามครั้งอื่นๆ
แต่.. วันเพ็ญเดือนสามแล้วไง? มันสำคัญอย่างไร?
อ่านต่อไปจึงได้เรียนรู้ว่า: "วันเพ็ญเดือนสาม" เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ มีชื่อทางเทคนิคว่า "วันศิวาราตรี" ผู้คนจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการ "ลอยบาป" หรือล้างบาปด้วยน้ำ
พระอรหันต์ 1250 รูปนั้น ล้วนเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน และเคยทำพิธีลอยบาปมาทุกปี จนกระทั่งปีนี้เป็นวันเพ็ญเดือนสามครั้งแรกที่พวกท่านเหล่านั้นจะไม่ได้ทำพิธีให้พระศิวะอีกต่อไป ตรงกันข้าม! ท่านกลับยกขบวนกันมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
การที่พระพุทธเจ้าเลือกแสดงธรรมที่เป็นหัวใจของศาสนาในวันนี้ จึงเป็น milestone ที่สำคัญ เพราะจัดว่าเป็นการประกาศชัยชนะ (ในไตรมาสที่สาม)
Mission Accomplished!
วันมาฆะบูชามีความอัศจรรย์อย่างนี้นี่เอง :)
Labels: religion
Wednesday, October 01, 2008 |
- Magic Number Machine
= a calculator, taking parenthesized expressions
- iRed Lite
= Apple Remote's utility, powerful & customizable
- Smultron
= text editor for programmers or web developers
- Adium
= multi-protocol chat. works with google talk, msn
- Pastor
= password organizer, encrypted, fast & simple
- Alarm Clock (by Robbie Hanson)
= alarm clock. can wake your mac up from sleep. can use music. has "easy wake" feature.
- Cyberduck
= FTP client
- Deep Sleep
= hibernating your mac
- Google Earth
= satellite images of the world
- Transmission
= BitTorrent client, fast, clean, and simple
- Chicken of the VNC
= remote desktop software. works with Windows.
- GIMP
= image editor
- OnyX
= access to mac's hidden features
- KNOPPIX
= bootable linux CD, to help your PC friends recover data when their Windows can't boot.
Tuesday, August 12, 2008 |
วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ผมได้ยินเสียงคุณครูประกาศว่าอย่างนั้น และครูก็พูดอะไรไปเรื่อยๆ และอยู่ดีๆ เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ร้องเพลงเพลงนึงขึ้นมา และผมก็ขยับปากร้องตาม ผมก็ร้องไปอย่างนั้นเองตามที่เคยได้ยินมา ร้องได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่มีใครถือสา เนื้อเพลงบอกว่า "แม่นี้มีบุญคุณ" อะไรสักอย่างนี่แหละ ผมไม่ได้ใส่ใจในความหมายของมัน รู้แต่ว่าตัวเองมีหน้าที่ร้องก็ร้องไป ผมและเพื่อนๆ ยืนร้องอยู่บนเวที ส่วนข้างล่างเวทีเป็นพวกครูๆ และคนแปลกหน้าเยอะแยะ
สักพัก พอเพลงจบ ผมก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งสวัสดีคุณแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างล่าง สักพักเพื่อนอีกคนก็มองเห็นแม่ตัวเองและสวัสดีบ้าง บางคนแม่ก็วิ่งเข้ามาหน้าเวทีให้ลูกเข้าไปไหว้ใกล้ๆ บางคนก็โบกไม้โบกมือกันห่างๆ
"อ้าว! มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ???" ... นั่นแหละคือสิ่งที่ผมสงสัย!
ที่แท้คนแปลกหน้าข้างล่างต่างเป็นเหล่า "แม่ๆ" ของลูกๆ นักเรียนอนุบาล 1 รร.นารานุบาล (จ.ชลบุรี) ซึ่งมาร่วมชมการร้องเพลง "ค่าน้ำนม" ที่ผมและเพื่อนๆ ได้ร้องไป ทีแรกผมนึกว่าแม่ทุกคนคงถูกเชิญมา จึงมองหาแม่ตัวเองบ้าง มองไปทางโน้นก็ไม่เจอ ทางนี้ก็ไม่เจอ มองหายังไงยังไงก็หาไม่เจอ จึงนึกไปว่า โอโห คุณแม่(ของเรา)ใจร้ายจังเลย คุณแม่คนอื่นเขามากันหมด แต่ทำไมคุณแม่ถึงไม่มา?!??!??!?
... ง่าๆๆ เง่อๆๆ เฮ่อๆๆ ฮือๆๆ ... แงๆๆ
ผมร้องไห้
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ในวันแม่แห่งชาติ
และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้ในวันแม่แห่งชาติเช่นเดียวกัน
ใช่แล้ว! ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะซาบซึ้งในพระคุณแม่ ผมเด็กเกินไปที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้ ผมร้องไห้เพราะโกรธคุณแม่ต่างหากที่ไม่มาร่วมงาน .. ตอนเด็กๆ ผมมักจะร้องไห้เสมอๆ ในทุกๆ คร้ังที่ไม่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เมื่อใดที่ผมโดนคุณแม่บังคับป้อนข้าว ผมร้องไห้, เมื่อใดที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอคุณแม่ในระยะเอื้อมมือถึง ผมร้องไห้, เมื่อใดที่อยากได้ของเล่นแล้วคุณแม่ไม่มีสตางค์ซื้อให้ ผมร้องไห้, เมื่อใดก็ตามที่ผมอารมณ์ไม่ดี แล้วไม่รู้จะโทษใครดี ผมโทษคุณแม่ แล้วผมก็ร้องไห้!
วันนั้นคุณแม่ไม่ได้มาร่วมงานวันแม่ที่โรงเรียนนารานุบาลก็เพราะคุณแม่ต้องขายของที่ริมหาดบางแสนทุกวัน เพื่อหาเงินเลี้ยงลูกสามคน และเพื่อจ่ายค่าเทอมโรงเรียนอนุบาลให้กับผม คุณแม่ต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นวันแม่ วันลอยกระทง วันปีใหม่ หรือวันเกิดคุณแม่ คุณแม่ก็ไม่เคยได้หยุด
- - - - -
ผมใส่เสื้อสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากี เสื้ออยู่ในกางเกง คาดเข็มขัดสีน้ำตาลหัวทองเหลือง ผมยืนเป็นคนที่สามจากหัวแถวนักเรียนชาย ผมเป็นนักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนจันทรวิทยา (เขตคลองสาน, กรุงเทพฯ) ที่เกือบจะตัวเล็กที่สุดในห้อง
ปีต่อมา ผมเป็นเด็ก ป.4, ปีต่อมาเป็นเด็ก ป.5, ปีต่อมาเป็นเด็ก ป.6
วันที่ 12 สิงหาคม ของปี 34, 35, 36 เป็นฉากเดียวกันทั้งสามปี
ทุกคนร้องเพลง "ค่าน้ำนม", มีคุณครูพูดสอนถึงพระคุณแม่, มีเพื่อน/รุ่นพี่ นักเรียนออกไปอ่านกลอนวันแม่ อ่านเรียงความเรื่องพระคุณแม่, มีพระอาจารย์เทศนาสอนเรื่องพระคุณแม่ .. บางทีก็มีการให้นักเรียนหลับตาสงบนิ่ง ขณะที่มีการเล่าเรื่องตัวอย่างของแม่ที่เสียสละ อดทนลำบากเลี้ยงลูกหลายคน เรื่องของลูกที่ไม่ค่อยจะเอาไหน แต่พอโตขึ้นมาก็สำนึกในพระคุณแม่ ...ในวันที่สายเกินไป
หลายคนร้องไห้
บางคนปล่อยโฮต้ังแต่ยังไม่เริ่มบรรยาย .. ผมมองว่าเพื่อนกลุ่มนี้คงจะ 1) มีจินตนาการส่วนตัวที่สูงมาก ประกอบกับจิตใจที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง หรือไม่ก็ 2) ผิดคิว (อย่างแรง)
บางคนก็ยืนนิ่ง ทีแรกทำท่าเบื่อๆ เหมือนโดนบังคับให้ฟัง แต่พอฟังไปสักพักก็เริ่มคลายทิฏฐิ มีน้ำตาคลอเบ้า และเพิ่มปริมาตรน้ำตาขึ้นเรื่อยๆ พอจบเรื่อง (ซึ่งมักจบอย่างเศร้าๆ) ก็ปล่อยโฮออกมาเต็มพิกัด
บางคนก็ฟังไปเรื่อยๆ โดยยังไม่มีอาการอะไร แต่พอเรื่องราวพาดเกี่ยวไปตรงหรือเฉียดกับชีวิตส่วนตัวของตนเอง ก็ร้องไห้ฟูมฟาย เหมือนกับว่าโดนจี้จุด
นักเรียนแต่ละคนมีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สังเกตได้ก็คือว่า พอเสร็จสิ้นจากการบรรยายทั้งปวงแล้ว แทบทุกคนจะต้องทำหน้าซึมๆ และมีร่องรอยของน้ำตาบนใบหน้าไม่มากก็น้อย บางคนก็เห็นแค่คราบน้ำตาซึมๆ ที่ขอบตา บางคนก็เละเทะเต็มใบหน้า บางคนก็มีขี้มูกด้วยเพราะว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกันเลยทีเดียว
แต่นักเรียนส่วนน้อยบางคน จะด้วยความขวางโลก ความท้าทาย ความไม่สำนึกพระคุณแม่ หรือด้วยความไร้จิตใจอย่างไรก็แล้วแต่ กลับมีสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีอาการซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแต่อย่างใด
ผมเป็นหนึ่งในคนกลุ่มน้อยเหล่านั้น
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องร้องไห้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องมาบอกกันทำไมว่าแม่มีบุญคุณอย่างนั้นอย่างนี้ ในเมื่อผมรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคุณแม่ของผมเองทำสิ่งต่างๆ ให้กับผมมากกว่าแม่ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเรื่องเล่าใดๆ ทั้งสิ้น, เสียสละและเหนื่อยยากมากกว่าใครในโลกนี้ทั้งสิ้น, และเป็นผู้ให้โดยบริสุทธิ์ใจไม่หวังอะไรตอบแทนทั้งสิ้น ... เรื่องแบบนี้ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้อยู่แก่ใจได้เองมานานแล้ว ไม่น่าจะต้องมีการบอกกันเป็นคำพูด เป็นเรื่องยากที่อยู่ดีๆ ผมจะรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใดในเรื่องที่ผมรับรู้และระลึกถึงมาโดยตลอดทุกวันอยู่แล้ว
แต่บางครั้ง ผมก็ต้อง(พยายาม)ไหลตามน้ำ
ผมเข้าใจว่าคงไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำลายบรรยากาศ ผมรู้ว่าคงจะเท่ไม่น้อยหากผมจะร้องไห้เบาๆ ไปกับเขาบ้างเหมือนกัน ผมจึงพยายามสร้างอารมณ์ร่วมโดยการตั้งใจฟังและจินตนาการตามไปทุกฉากทุกตอนอย่างใกล้ชิด บางครั้งเรื่องราวก็สะกิดใจให้ซาบซึ้งได้จริงๆ แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้น้ำตาไหลได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ครั้นพอคิดถึงเรื่องตัวเองมันก็ยังไม่รู้สึกเศร้า เพราะการที่ระลึกถึงบุญคุณของคุณแม่ตัวเองนั้นมันทำให้รู้สึกดีใจ ดีใจที่เรามีแม่ที่ดีอย่างนี้ ที่เหนื่อยเพ่ือลูกขนาดนี้ ดีใจที่แม่สอนเราให้ขยันเรียน สอนให้พูดจาไพเราะกับผู้ใหญ่ สอนให้ซื่อสัตย์ สอนให้คิดเลขเป็น สอนให้อ่านภาษาไทยเป็น ฯลฯ ดังนั้นเราต้องตอบแทนพระคุณแม่ แต่ตอนนี้จะทำอะไรได้บ้างล่ะ? ก็คงได้แค่ขยันเรียน (ก็ขยันแล้วนะ) ไม่เกเรหนีเที่ยว (ก็ไม่มีปัญญาจะไปเที่ยวไหนอยู่แล้ว หลงทางประจำ) ประหยัดเงิน (ก็ประหยัดสุดๆ แล้วเพราะวันๆ ไม่ได้ใช้สตางค์เลย) .. ก็เป็นอันว่าตอนนี้ทำดีที่สุดแล้ว ลองวางแผนเผื่ออนาคตดู เราคงต้องเรียนให้สูงๆ หางานดีๆ ทำงานให้รวยๆ เอาเงินมาให้แม่ แม่จะได้พัก จะได้สบาย แต่ที่สำคัญกว่าเงินคือเราต้องซื่อสัตย์ ต้องมีสัจจะ เพราะเรื่องนี้แม่สอนไว้เสมอ แม่สอนโดยการทำตัวเป็นตัวอย่าง
... อ้าว! ฮึ้ย! คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว มันก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เป็นเรื่องที่ต้องยึดถือปฏิบัติ แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะรู้สึกเศร้าจนร้องไห้ ... เพื่อนๆ เขาร้องไห้กันใหญ่แล้ว เราจะทำอย่างไรดี เราจะต้องร่วมสร้างบรรยากาศนี้ให้ได้ เราต้องหาวิธี
ผมหาว
... โดยพยายามหุบปาก ทุกครั้งที่หาวน้ำตาจะไหลออกมานิดนึง พอหาวหลายครั้งเข้า ตาก็จะชุ่มๆ จมูกก็จะมีสีแดงเรื่อๆ คล้ายกับว่าเพิ่งร้องไห้มาเบาๆ เพราะซาบซึ้งในพระคุณแม่ พอเป็นพิธี
เพื่อนๆ ก็สามารถมองกันได้อย่างไม่เคอะเขิน ทุกคนชื่นชมในความเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนของเพื่อนๆ ทุกคน
เป็นอันเสร็จพิธี
- - - - -
ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีน้ำตาล ไม่ใส่เข็มขัด (เพราะอ้วนเกินไปจนพุงคับกางเกงแล้ว) ผมนั่งอยู่บนโซฟาสีขาว มองไปที่ทีวีจอแบนเครื่องสีดำซึ่งแขวนอยู่บนผนังห้องด้านหน้า
คุณแม่นอนอยู่บนเตียงข้างๆ คุณแม่ใส่เสื้อฟ้า กางเกงฟ้า ที่ขาเตียงมีล้อ บนเสื้อผ้าคุณแม่มีตรา "รพ.กรุงเทพพัทยา" ที่แขนคุณแม่มีสายน้ำเกลือ ในขวดน้ำเกลือมียาปฏิชีวนะและยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว
กว่า 26 ปีที่คุณแม่เลี้ยงผมมา และกว่า 55 ปีที่คุณแม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกายมาโดยตลอด ทำให้คุณแม่ต้องผ่านมลภาวะมากมาย ผ่านความเครียดนานับประการ ผ่านการทานอาหารที่อาจมีสารพิษตกค้าง ผ่านสารเคมีอันตรายจากการดำรงชีวิตอย่างเร่งรีบ ที่ต้องดูแลลูกจนไม่มีเวลาดูแลตนเอง ... คุณแม่เป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ คุณหมอตรวจพบเมื่อ 5 เดือนกว่าๆ ที่แล้ว คุณแม่รับการรักษามาเรื่อยๆ ด้วยการผ่าตัดตามด้วยยาเคมีบำบัดชนิดใหม่ล่าสุด ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์
คุณแม่ต้องรีบมาโรงพยาบาลเมื่อ 4 วันที่แล้วเนื่องจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ อันเป็นผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด ตอนนี้คุณแม่อาการดีขึ้นแล้ว แต่ก็หมดเรี่ยวแรง เบื่ออาหารมาก มือและแขนก็พรุนไปหมดจากการโดนเจาะเลือดและเจาะน้ำเกลือ
วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ
ผมนั่งดูรายการต่างๆ ทางโทรทัศน์ มีผู้คนออกมาพูดถึงพระคุณแม่กันมากมาย มีคนมาร้องเพลง "ค่าน้ำนม", เพลง "อิ่มอุ่น", และเพลงสำหรับแม่ต่างๆ มากมาย บางคนพูดไปร้องไห้ไป ร้องเพลงไปร้องไห้ไป เล่าเรื่องแม่ของตัวเองไป ก็ร้องไห้ไป
ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่จะรู้สึกว่ามีน้ำตาคลอเบ้า
ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องพยายามสร้างอารมณ์เศร้าอะไรอีกแล้ว ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องอาศัยใครให้มาบอกแล้วว่าแม่มีพระคุณกับผมอย่างไร ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ผมมีแทบทุกอย่างที่ผมต้องการ และคนที่ให้ผมมาก็คือคุณแม่ ... ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องการให้ใครมาบอกผมอีกแล้วว่าการเห็นคุณแม่ตัวเองเจ็บป่วยนั้น มันเจ็บปวดขนาดไหน
ผมทราบและรู้สึกดีว่าคุณแม่คนที่อยู่ข้างๆ ผมนี้ สำคัญและยิ่งใหญ่สำหรับผมสักเพียงไหน
วันแม่มีปีนี้ผมก็ยังคงไม่ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะไม่ซาบซึ้งหรือไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวอะไร แต่เป็นเพราะความรู้สึกนั้นมันสูงเป็นล้นพ้น จนผมร้องไม่ออกต่างหาก
วันแม่ปีนี้ ผมอยากให้คุณแม่ผมหายป่วยครับ
Friday, August 08, 2008 |
Friday, July 11, 2008 |
ผมได้อ่านบทความของ พล.ต.รศ.น.พ. ปริญญา ทวีชัยการ (โอโฮ ตำแหน่งของท่านเหลือกินจริงๆ) ในแผ่นพับ M Care (พิมพ์โดยบริษัท Merck) ก็ทำให้ตกใจกับสถิติบางประการเกี่ยวกับการตายจากโรคมะเร็ง มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่ทำให้คนตายมากเป็นอันดับสองของโลก แต่ในเมืองไทยนั้นเป็นอันดับสามรองจากมะเร็งตับ นั่นเพราะว่าคนไทยเป็นโรคมะเร็งตับกันมาก โดยเฉพาะในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทำไมคนไทยจึงเป็นมะเร็งตับกันมาก? ผมหยิบหนังสือ "รู้ทันโรคตับ รู้ลึกเรื่องเปลี่ยนตับ" (โดย น.พ.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ และคณะ, พิมพ์ครั้งที่ 3) ขึ้นมาดู ที่หน้า 25 เขียนว่ามะเร็งตับนั้นมีหลายชนิด ชนิดหนึ่งคือโรคมะเร็งท่อน้ำดี (cholangiocarcinoma) พบได้ "บ่อยมาก" ในคนไทยภาคอีสานและเหนือ เพราะการกิน "ปลาร้า ปลาส้ม" ทำให้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ พยาธิเติบโตในท่อน้ำดี ทำให้อักเสบเรื้อรังและก่อเกิดเป็นมะเร็ง
ฟังดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก แต่ความจริงที่น่ากลัวกว่านั้นอยู่ในหน้า 67: โรคมะเร็งตับในบางกรณีสามารถรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนตับ แต่จะต้องเป็นมะเร็งตับปฐมภูมิ (hepatoma) เท่านั้น จะเป็นมะเร็งท่อน้ำดีไม่ได้ ดังนั้นถ้าใครทานปลาร้า ปลาส้ม เข้าไป แล้วเกิดโรคพยาธิใบไม้ในตับ เรื้อรังจนกลายสภาพเป็นมะเร็งขึ้นมา ก็จะต้องหาทางรักษาแบบอื่น คุณหมอไม่รับเปลี่ยนตับให้แม้จะหาผู้บริจาคได้ก็ตาม
Tuesday, July 08, 2008 |
อาลัยอาแต๋ว
โดย ผนวกเดช สุวรรณทัต (ม็อค)
๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
(๑)
คืนนี้ผมนั่งเขียนคำอาลัยอยู่ในบ้านของอาแต๋วที่ท่าพระ
ความจริงแล้วผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ในวันนี้ ความจริงแล้วผมควรจะอยู่ที่พัทยาและมาพบกับอาแต๋วตอนเย็นวันพุธหน้าตามที่เรานัดกัน ความจริงแล้วผมควรจะกำลังดำเนินการจัดหาเครื่องสังฆทานเก้าชุดเพื่อเตรียมงานบุญวันเกิดอาแต๋ว ที่เราตกลงกันแล้วว่าจะจัดขึ้นในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ ความจริงแล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ในขณะนี้ไม่ควรเป็นการเขียนบทความอำลาอาลัย แต่ควรเป็นการออกแบบการ์ดวันเกิดงามๆ สักแผ่น และกลอนวันเกิดฮาๆ สักบทสองบท อย่างที่ผมได้เคยทำให้อาแต๋วในปี ๒๕๔๖ แล้วก็ว่างเว้นมาหลายปี
แต่ความจริงก็คือความจริง และความจริงก็คืออาแต๋วจากผมไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้
บ้านหลังนี้ ที่ซึ่งผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ เป็นสถานที่แห่งความทรงจำอันยาวนาน บ้างครั้งผมเรียกมันว่า “บ้านท่าพระ” บางครั้งผมเรียกมันว่า “บ้านอาแต๋ว” เป็นที่ที่ทำให้ผม “เติบโต” และ “เรียนรู้” สิ่งต่างๆ มาได้ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กบางแสนซึ่งเพิ่งเข้า กทม. - จนกระทั่งเป็นเด็ก กทม. เต็มตัว - จนกระทั่งไม่เป็นเด็ก กทม. อีกต่อไปเพราะต้องไปศึกษาที่อื่น - และจนบัดนี้ก็เป็นเด็กกึ่งพัทยา/กึ่ง กทม. มาได้ 4 เดือนแล้ว โดยไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนในชีวิตของผม “บ้านอาแต๋ว” ก็เป็นที่พักพิงอันอบอุ่น และอาแต๋วก็ได้ให้การดูแลช่วยเหลือ และให้คำแนะนำอันมีค่ากับผมผู้เป็นหลานอยู่เสมอมาโดยตลอด
เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด วันนี้บ้านท่าพระไม่มีอาแต๋วอยู่แล้ว
แต่ในบ้านนี้และในจิตใจของผมผู้ซึ่งเคยอยู่บ้านนี้ จะมีอาแต๋วตราตรึงอยู่ในความทรงจำตลอดไป
ความทรงจำนี้แม้ไม่อาจเล่าได้หมด แต่ก็คงไม่พ้นวิสัยของความพยายาม
(๒)
ผมงงกับประโยคที่คุณพ่อพูด พอคุณพ่อพูดเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปในห้องทำฟันของคลินิกหน้าปากซอย จรัลฯ ๓ ทันที พี่โม่ผู้ซึ่งเดินมากับผมอธิบายให้ผมฟังว่าคุณพ่อสั่งให้ผมและพี่โม่เดินเข้าไปในซอย ๑ ตามแผนที่ที่คุณพ่อวาดให้ แล้วไปหาบ้านอาแต๋วให้พบให้ได้ จากนั้นก็จงทำ “ภารกิจ” ต่อไปให้สำเร็จ
ผมไม่ทราบว่าภารกิจนั้นคืออะไร ผมยังเด็กมาก และผมก็ไม่ทราบด้วยว่า “อาแต๋ว” คือใคร
เดินไปสักพักพี่โม่ก็พาผมมาอยู่ที่หน้า “บ้านอาแต๋ว” กดกริ่งหนึ่งที แล้วก็เข้าไปสวัสดีทักทายผู้คนข้างในซึ่งผมไม่รู้จัก พี่โม่พูดจาสองสามคำ ได้ความว่า “คุณพ่อให้มายืมเงินค่าขนมค่ะ!” ไม่นานอาแต๋วก็ควักแบงก์ร้อยให้สองใบ
นั่นคือครั้งแรกในความทรงจำของผมที่ได้มา “บ้านอาแต๋ว” และยังได้รบกวนอาแต๋วอีกด้วย
หลังจากนั้นก็มีอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ผมได้มาบ้านหลังนี้และได้รบกวนคุณอาท่านนี้
(๓)
ผมเห็นโจ๊กอยู่ในหม้อ หม้อวางอยู่บนโต๊ะทานข้าว โต๊ะทานข้าวอยู่ในครัว ครัวอยู่ข้างห้องน้ำ ครัวและห้องน้ำอยู่ในบ้านอาแต๋ว
ผมไม่ทันได้สังเกตว่าโจ๊กนั้นเป็นโจ๊กชนิดไหน ทำเสร็จแล้วหรือไม่ และทำไว้ให้ใคร แต่สันนิษฐานว่าอาแต๋วคงจะตื่นแต่เช้ามืด ทำโจ๊กไว้ให้ผมและพี่โม่ก่อนจะเดินทางไปเยี่ยมคุณแม่ของผมที่ รพ.จุฬาลงกรณ์
อาแต่๋วเคยตื่นมาทำอาหารเช้าให้ผมแบบนี้อยู่หลายครั้ง โดยปกติแล้วผมก็จะทานเพราะรู้ว่าอาแต๋วตั้งใจทำไว้ให้ และอาแต๋วก็ต้องเหนื่อยมาก (แต่ก็ห้ามอาแต๋วไม่ได้) แต่เช้าวันนั้นมีเหตุเร่งด่วนเนื่องจากผมตื่นสาย และผมเองก็นัดคุณหมอไว้เวลา ๙.๓๐ น. จึงไม่ได้ทานโจ๊กหม้อนั้น
ผมมารู้ทีหลังว่าโจ๊กนั้นยังทำไม่เสร็จเพราะอาแต๋วเหนื่อยจัด หัวใจเต้นเร็วมาก
เช้าวันนั้นก็คือวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๑
คืนก่อนหน้าวันนั้นผมพูดคุยกับอาแต๋วเรื่องงานวันเกิดอาแต๋วในเดือนหน้าที่วัดหนัง (วัดวิจิตรการนิมิตร) โดยผมจะจัดหาเครื่องสังฆทาน ๙ ชุด ส่วนที่เหลืออาแต๋วบอกว่าทางวัดจัดการให้แล้ว นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมคุยกับอาแต๋วก่อนเข้านอน
ก่อนออกจากบ้านผมลาคุณอาไพฑูรย์ คุณอาบอกว่าอาแต๋วอาการไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้ทุเลาลงบ้าง บ่ายวันนี้จะไปหาหมอตามนัด พอได้ยินว่ามีแผนจะไปหาหมออยู่แล้วผมก็สบายใจ และไม่ได้เข้าไปลาอาแต๋วซึ่งนอนอยู่ในห้องเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวน ผมคิดว่าทุกอย่างคงจะเรียบร้อยเหมือนทุกๆ ครั้ง แล้วผมก็นั่งรถออกจากบ้านอาแต๋วไป
เสร็จธุระที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ ผมก็กลับบ้านพัทยา พอถึงพัทยาได้ไม่นานก็มีโทรศัพท์จากพี่ก้อมาแจ้งว่าอาแต๋วเสียชีวิตแล้ว
ผมรู้สึกใจหายเหลือเกิน
(๔)
วันนี้ผมรับหน้าที่เป็นตัวแทนของคุณพ่อ (ซึ่งเป็นพี่ของอาแต๋ว), คุณแม่ (ซึ่งกำลังอ่อนเพลียจากผลข้างเคียงของยา), และพี่นัท พี่โม่ (ผู้กำลังดูแลคุณแม่) มาร่วมงานบุญของอาแต๋ว ทุกครั้งที่มองไปเห็นโลงศพสีขาวและเห็นรูปของอาแต๋วตั้งอยู่ตรงนั้น ผมก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยกว่าเมื่อห้าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์ของคุณพ่อผมเอง
ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมานี้ผมมานอนที่บ้านอาแต๋วทุกสัปดาห์ คุณแม่ของผมไม่สบาย และมีแผนการรักษาที่ ร.พ.จุฬาลงกรณ์ พออาแต๋วทราบดังนั้นก็รีบโทรศัพท์ไปหาทุกวัน แล้วบอกว่าให้ใช้บ้านอาแต๋วนี้เป็นฐานที่มั่น ระหว่างที่เข้ามารอหมอ ก็ขอให้คุณแม่ของผมมาพักที่บ้านอาแต๋ว และระหว่างที่คุณแม่นอนโรงพยาบาล ก็ขอให้ลูกๆ มานอนพักผ่อนที่นี่ ในสัปดาห์แรกๆ ผมเองก็เกรงใจมากเหลือเกิน แม้จะคุ้นเคยกันแต่ก็ไม่กล้ามารบกวนเพราะทราบอยู่่ว่าอาแต๋วไม่สบาย แต่ในระยะหลังก็ยอมตามนั้น ทำให้การรับการรักษาราบรื่นขึ้นมาก
คุณแม่ของผมและอาแต๋วคุ้นเคยกันมานาน บัดนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมการต่อสู้ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนเมนูอาหาร แลกเปลี่ยนไอเดียการทำบุญ อาแต๋วทานเก่ง เที่ยวเก่ง และคุยเก่ง เวลาที่ได้พูดคุยดูท่าทางอาแต๋วจะมีความสุข โดยเฉพาะการได้คุยเรื่องบุญกุศล เช่นเรื่องการไถ่ชีวิตโคกระบือซึ่งอาแต๋วชวนคุณแม่ การไปไหว้หลวงพ่อโสธรซึ่งคุณแม่ชวนอาแต๋ว และล่าสุดเรื่องงานทำบุญวันเกิด ซึ่งอาแต๋วเอ่ยในวันพุธที่ ๒๕ มิ.ย. ว่า “ทีแรกฉันนึกว่าจะอยู่ไม่ถึงวันเกิด แต่ไปๆ มาๆ ดูท่าทางมันจะอยู่ถึงซะอย่างนั้น ก็เลยคิดว่าจะทำบุญใหญ่ที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ญาติๆ ผู้ล่วงลับด้วย”
น่าเสียดายที่อาแต๋วจะไม่ได้อยู่กับพวกเราในงานวันเกิดเดือนหน้า
น่าเสียดายที่อาแต๋วจะไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของหลานๆ ในอนาคต ทั้งความสำเร็จของผมซึ่งเป็นหลานอา และความสำเร็จของ มีน มายด์ มิว มะหมี่ ซึ่งเป็นหลานยาย
(๕)
ผมมีวันนี้ได้ ยืนอยู่ตรงนี้ได้ มีโอกาสในการศึกษาและการทำงานอย่างนี้ได้ ก็เพราะมีครอบครัวที่เข้มแข็ง มีคนรอบข้างคอยสนับสนุน มีตัวอย่างที่ดีให้ก้าวตาม และมีแผ่นดินไทยให้ยืนหยัดและเติบโต
อาแต๋วเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จของผมในทุกๆ ด้าน
ผมมีครอบครัวที่เข้มแข็ง โดยมีอาแต๋วเป็นญาติผู้คอยดูแลผมตลอด เมื่อผมย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ใหม่ๆ ตอนที่ยังเรียน ป.๓ ผมพักอยู่กับคุณย่าที่ รร.จันทรวิทยา อาแต๋วให้ผมมานอนที่บ้านอาแต๋วสลับกับบ้านคุณย่า ผมก็มาบ่อย เพราะว่าบ้านอาแต๋วมีทีวีจอใหญ่ มีเครื่องเกมให้เล่น (แต่มีเงื่อนไขว่าต้องทำการบ้านเสร็จก่อน) มีกบเหลาดินสอแบบคันหมุน (ซึ่งสมัยนั้นผมถือว่าเป็นของที่หรูหรามาก) ในระหว่างนั้นอาแต๋วได้ดูแลและอบรมขัดเกลาผมในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร (ซึ่งเมื่อผมนั่งบนเก้าอี้แล้วเอื้อมไม่ถึงอาหาร อาแต๋วก็เอาสมุดโทรศัพท์มาวางเป็นเบาะเสริมให้), เรื่องการพูดตะโกนเสียงดัง, การแสดงออกอันเหมาะสม, การพูดคุยกับผู้ใหญ่, การสวดมนต์, กิริยามารยาทต่างๆ, ฯลฯ และในทางวิชาการ อาแต๋วก็ให้พี่เก๋เป็นผู้สอนภาษาอังกฤษผมด้วย โดยทุกวันผมจะเรียนศัพท์อย่างน้อย ๕ คำ คำแรกที่ผมเรียนคือคำว่า “d-e-s-k เดสก์ โต๊ะนักเรียน” ผมยังจำได้แม่น
อาแต๋วเป็น “คนรอบข้าง” ซึ่ง “คอยสนับสนุน” ผมอยู่เสมอ เมื่อครั้งผมจบ ป.๖ อาแต๋วก็จัดแจงเรื่องการสมัคร รร.สวนกุหลาบฯ, รร.สาธิตบ้านสมเด็จฯ, และ รร.ฤทธิณรงค์รอน ให้ และยังได้คอยร่วมลุ้นผลสอบในคืนวันประกาศผลสอบ รร.สวนกุหลาบฯ กับผมด้วย (ลุ้นทางโทรศัพท์ โดยในคืนวันนั้นผมพักที่บ้านคุณย่าน้าจี๊ด) เมื่อครั้งที่ผมได้ไปแข่งโอลิมปิกวิชาการที่ประเทศจีนอาแต๋วก็พาน้องมายด์ไปส่งผมที่ดอนเมือง เมื่อผมไปแข่งขันเขียนโปรแกรมที่ฟิลลิปปินส์อาแต๋วก็พาน้องมีนไปส่งผมด้วย และเมื่อผมได้รับทุนไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา อาแต๋วก็จัดเป็ดพะโล้ชุดใหญ่มาเลี้ยงผม (ที่บ้าน รร.จันทรฯ) เป็นมื้อส่งท้าย ก่อนเดินทางอาแต๋วมอบรูปถ่ายหนึ่งนิ้ว ถ่ายในชุดข้าราชการให้กับผม ด้านหลังรูปเขียนว่า “เนี่ยะ อาแต๋ว อย่าลืมนะ” ผมยังเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์มาจนถึงทุกวันนี้
อาแต๋วเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผมก้าวตาม อาแต๋วเป็นครูผู้เสียสละและทุ่มเท เมื่อครั้งที่ผมหัดใช้คอมพิวเตอร์ใหม่ๆ อาแต๋วก็นำงานมา “จ้าง” ผมให้ฝึกฝีมือหลายงาน เช่นกรณีหนึ่ง อาแต๋วไป “จ้าง” นักเรียนของอาแต๋วที่ รร.ฤทธิณรงค์รอน หลายๆ คน ให้จัดทำฐานข้อมูลหนังสือในห้องสมุดโดยการเขียนลงกระดาษ จากนั้นก็นำกระดาษเป็นปึกๆ มาจ้างให้ผมกรอกลงในโปรแกรม Microsoft Excel ซึ่งผมกำลังหัดใช้ นอกจากนั้นยังมีงานอื่นๆ มากมาย เช่น สื่อการสอน แผ่นพับ ข้อสอบวิชาห้องสมุด ฯลฯ ซึ่งทุกงานล้วนเกิดจากความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ให้กับศิษย์ และยังเป็นการฝึกฝีมือของผม ผู้ซึ่งอาแต๋วไม่เคยใช้ให้ทำอะไรฟรีๆ (แม้ผมจะปฏิเสธค่าจ้าง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมอาแต๋วทุกครั้งไป)
อาแต๋วเป็นแม่พิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไทยที่ผมยืนหยัดอยู่ในวันนี้ อาแต๋วรับราชการจนเกษียณ เหน็ดเหนื่อยทุ่มเทให้กับงานของประเทศชาติ ถือเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินที่น่ายกย่องและน่าเอาเยี่ยงอย่าง อาแต๋วทำให้ผมรู้สึกว่าการทำงานให้ส่วนร่วมนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต
(๖)
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อาแต๋วไม่อยู่กับเราแล้ว แต่เมื่อพิเคราะห์ดูว่าอาแต๋วเป็นคนดี มีจิตใจประเสริฐ มีการกระทำอันประเสริฐ ก็มั่นใจได้ว่าอาแต๋วจะได้ไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นสวรรค์ จะเป็นพรหมโลก จะเป็นดินแดนของพระผู้เป็นเจ้าองค์ใดก็สุดแท้แต่ ผมแน่ใจว่าอาแต๋วจะได้ไปอยู่ที่นั่น.