Tuesday, July 12, 2005 |
ศีลข้อสามดูเหมือนจะเป็นศีลข้อที่รักษาได้ง่ายที่สุดในบรรดาศีลทั้งห้าข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เรายังไม่มีความรัก
ศีลข้อนี้มีคำแปลเป็นภาษาไทย หลายเวอร์ชั่นส์
คำแปลที่ดูจะแคบสักหน่อยก็ได้แก่....
- อย่าผิดลูกผิดเมีย/ผิดสามีคนอื่น
- อย่ามีชู้ และอย่าเป็นชู้
ซึ่งถ้าถือตามคำแปลดังกล่าวแล้ว ก็ต้องนับว่าศีลข้อนี้รักษาไม่ยากเลย การที่เราจะ "ผิดลูกผิดเมีย" หรือ "มีชู้" หรือ "เป็นชู้" นั้น แสดงว่าเราหรืออีกฝ่ายหนึ่งจะต้องมีคู่เป็นตัวเป็นตน มีการแต่งงานกัน หรือเป็นที่ชัดเจนว่าได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแล้ว
การแย่งแฟนคนอื่น จึงไม่ถือว่าผิดศีลข้อสามอย่างแน่นอน! (ถ้าตีความศีลข้อสามแบบนั้น)
แต่ศีลข้อสาม บางครั้งก็ถูกแปลไว้อย่างกว้าง ว่า...
- อย่าพรากผู้อื่นจากคนที่เขารัก
- อย่าพรากผู้อื่นจากสิ่งที่เขารัก
ถ้าตีความแบบนี้ ต้องนับว่าการแย่งแฟนคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม อย่าว่าแต่เรื่องแย่งแฟนเลย ... การไปแย่งทรัพย์สิน/แย่งลูกค้าจากคนอื่นโดยใช้กลวิธีแยบยลทางกฏหมายหรือทางการตลาด ก็นับว่าผิดศีลข้อสามได้เหมือนกัน
กระนั้น เหตุใดสังคมโลกในปัจจุบันจึงได้มีเหตุการณ์ที่คนหนึ่งไปแย่งแฟนอีกคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา? โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ไปแย่งแฟนคนอื่นนั้นก็รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นอาจจะ "ผิดศีลธรรม" .... แต่ก็ยังทำไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรมากนักอยู่ดี (หรือบางครั้งก็รู้สึกผิด แต่ยังไม่ผิดมากพอที่จะทำให้หยุดทำ)
บางครั้งการตีความศีลข้อสามอย่างกว้าง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนปัจจุบันยอมรับกันมากนักอีกต่อไป...
แน่นอนว่าคนเราไม่มีใครต้องการรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ จึงต้องหาเหตุผลมาสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเองอยู่เสมอ ในสายตาของผู้ที่ไปแย่งแฟนคนอื่นนั้น 'เหตุผลแห่งความชอบธรรม' ดังกล่าว ไม่ได้หายากนัก
ลองพิจารณาสถานการณ์นี้... (เรื่องสมมติ นามสมมติ)
สมศักดิ์พบกับสมศรี สมศรีเป็นคนที่สวยและน่ารักสมศักดิ์จึงต้องการเข้าไปใกล้ชิด สมศักดิ์เป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส ซึ่งเป็นนิสัยที่สมศรีชอบอยู่แล้ว เมื่อสมศักดิ์เข้าไปทำดีด้วยสมศรีก็อดไม่ได้ที่จะทำดีตอบ สมศักดิ์รู้อยู่ว่าสมศรีมีแฟนอยู่แล้ว แต่แฟนสมศรีไม่ได้อยู่ที่นี่ และสมศรีเองก็ดูไม่ได้มีท่าทีรังเกียจการเข้าไปใกล้ชิดของสมศักดิ์ แถมสมศรียังดูจะมีความสุขและตอบรับการกระทำของสมศักดิ์อย่างดีอีกด้วยซ้ำไป สมศักดิ์ก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองมีโอกาสที่จะจีบสมศรีได้สำเร็จ เลยยิ่งทำดีกับสมศรีและเข้าไปใกล้ชิดสมศรีมากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ และสมศรีก็ดูจะมีความสุขกับสมศักดิ์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
สมชาย ซึ่งเป็นแฟนของสมศรี ไม่ได้รับรู้เรื่องพวกนี้เลย ยังคงยึดมั่นซื่อสัตย์ต่อสมศรีมาโดยตลอด และก็ยังคิดว่าสมศรียังคงซื่อสัตย์ต่อสมชายมาโดยตลอดเช่นเดียวกัน
ถามว่า เรื่องนี้ ใครทำถูก ใครทำผิด?
สำหรับฝ่ายสมชายและสมศรีนั้นจะไม่ขอกล่าวถึง แต่สำหรับฝ่ายสมศักดิ์นั้น เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา...
ถ้าคุณจะทำตัวเป็นนักกฏหมาย และถือเอาศีลห้าเป็นกฏหมาย ก็คงตอบได้โดยไม่ลังเลว่า ผิด เพราะสมศักดิ์ได้พรากสมศรีซึ่งเป็นคนรักของสมชายไปจากสมชาย
แต่ถ้าคุณจะยึดหลักสามัญสำนึก คุณ "อาจจะ" เห็นด้วยกับคำแก้ต่างของสมศักดิ์ดังต่อไปนี้....
"ใช่ครับ ผมทราบว่าสมศรีมีแฟนอยู่แล้ว และผมก็กำลังไปแย่งคุณสมศรีมาจากคุณสมชาย ถ้าคุณสมชายเป็นเพื่อนของผมผมก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น แต่นี่คุณสมชายเป็นใครผมก็ไม่รู้จักนี่ครับ ความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างสมชายกับสมศรีจะลึกซึ้งเพียงไรผมเองก็ไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าเค้าเรียกตัวเองว่าเป็น 'แฟน' กัน ... มาตรฐานของคำว่าแฟนมันมีหลายมาตรฐานครับ ตั้งแต่คนที่รักกันมากปานจะกลืนกิน ไปจนถึงคนที่คบๆ กันเพียงเพื่อหาความสุขจากความใกล้ชิดไปวันๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามาตรฐานที่คุณสมชายและสมศรีใช้นั้นมันเป็นมาตรฐานไหน เค้าไม่เคยบอกผมนี่ครับ
ดังนั้น ผมจะผิดนักหรือที่ผมจะสันนิษฐานจากท่าทีที่สมศรีมีให้กับผมว่าคุณสมชายก็คงจะไม่ได้ใกล้ชิดกับคุณสมศรีมากนัก และคุณสมศรีก็คงไม่ได้รับความรักจากคุณสมชายมากเพียงพอ ไม่อย่างนั้นเธอจะมารับความรัก เอ้อ... การแสดงออกซึ่งความรักจากผมไปหรือ?
ผมจะผิดมากนักหรือถ้าผมจะคิดไปว่าตัวผมเองอาจจะดีไม่แพ้คุณสมชาย และเนื่องจากความใกล้ชิดระหว่างผมกับสมศรี ผมอาจจะเป็นคนที่เหมาะกับสมศรีมากกว่าสมชายก็เป็นได้ ถ้าผมไม่ให้โอกาสตัวเองและให้โอกาสคุณสมศรีที่จะทดลองพิสูจน์สมมติฐานในข้อนี้ นั่นมิเท่ากับว่าผมทำผิดต่อคุณสมศรีที่ผมรักยิ่งหรอกหรือ?
ดังนั้นในตอนนี้ที่ผมพอจะทำให้คุณสมศรีมีความสุขได้ ผมก็คิดว่าผมควรจะกระทำต่อไป ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายกับคุณสมศรี ผมก็จะยังทำต่อไป แม้ใครจะว่าผมเลวผมก็ยอม
ผมรักคุณสมศรีนี่ครับ ... ผมต้องการให้คุณสมศรีมีความสุข ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมองว่าผมเป็นคนดีหรือไม่ดี ผมไม่แคร์ คุณสมศรีเท่านั้นที่ผมแคร์"
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์(สมมติ)หนึ่ง ซึ่งผู้ที่กำลังแย่งแฟนชาวบ้านอยู่นั้นมีเหตุผลแห่งความชอบธรรมอยู่ไม่น้อยเลย ใครจะรู้เล่าว่าจะมีเหตุการณ์จริงอีกกี่ร้อยกี่พันเหตุการณ์ ที่อาจจะคล้ายกับเหตุการณ์สมมตินี้?
ศีลข้อนี้มีคำแปลเป็นภาษาไทย หลายเวอร์ชั่นส์
คำแปลที่ดูจะแคบสักหน่อยก็ได้แก่....
- อย่าผิดลูกผิดเมีย/ผิดสามีคนอื่น
- อย่ามีชู้ และอย่าเป็นชู้
ซึ่งถ้าถือตามคำแปลดังกล่าวแล้ว ก็ต้องนับว่าศีลข้อนี้รักษาไม่ยากเลย การที่เราจะ "ผิดลูกผิดเมีย" หรือ "มีชู้" หรือ "เป็นชู้" นั้น แสดงว่าเราหรืออีกฝ่ายหนึ่งจะต้องมีคู่เป็นตัวเป็นตน มีการแต่งงานกัน หรือเป็นที่ชัดเจนว่าได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแล้ว
การแย่งแฟนคนอื่น จึงไม่ถือว่าผิดศีลข้อสามอย่างแน่นอน! (ถ้าตีความศีลข้อสามแบบนั้น)
แต่ศีลข้อสาม บางครั้งก็ถูกแปลไว้อย่างกว้าง ว่า...
- อย่าพรากผู้อื่นจากคนที่เขารัก
- อย่าพรากผู้อื่นจากสิ่งที่เขารัก
ถ้าตีความแบบนี้ ต้องนับว่าการแย่งแฟนคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม อย่าว่าแต่เรื่องแย่งแฟนเลย ... การไปแย่งทรัพย์สิน/แย่งลูกค้าจากคนอื่นโดยใช้กลวิธีแยบยลทางกฏหมายหรือทางการตลาด ก็นับว่าผิดศีลข้อสามได้เหมือนกัน
กระนั้น เหตุใดสังคมโลกในปัจจุบันจึงได้มีเหตุการณ์ที่คนหนึ่งไปแย่งแฟนอีกคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา? โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ไปแย่งแฟนคนอื่นนั้นก็รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นอาจจะ "ผิดศีลธรรม" .... แต่ก็ยังทำไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรมากนักอยู่ดี (หรือบางครั้งก็รู้สึกผิด แต่ยังไม่ผิดมากพอที่จะทำให้หยุดทำ)
บางครั้งการตีความศีลข้อสามอย่างกว้าง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนปัจจุบันยอมรับกันมากนักอีกต่อไป...
แน่นอนว่าคนเราไม่มีใครต้องการรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ จึงต้องหาเหตุผลมาสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเองอยู่เสมอ ในสายตาของผู้ที่ไปแย่งแฟนคนอื่นนั้น 'เหตุผลแห่งความชอบธรรม' ดังกล่าว ไม่ได้หายากนัก
ลองพิจารณาสถานการณ์นี้... (เรื่องสมมติ นามสมมติ)
สมศักดิ์พบกับสมศรี สมศรีเป็นคนที่สวยและน่ารักสมศักดิ์จึงต้องการเข้าไปใกล้ชิด สมศักดิ์เป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส ซึ่งเป็นนิสัยที่สมศรีชอบอยู่แล้ว เมื่อสมศักดิ์เข้าไปทำดีด้วยสมศรีก็อดไม่ได้ที่จะทำดีตอบ สมศักดิ์รู้อยู่ว่าสมศรีมีแฟนอยู่แล้ว แต่แฟนสมศรีไม่ได้อยู่ที่นี่ และสมศรีเองก็ดูไม่ได้มีท่าทีรังเกียจการเข้าไปใกล้ชิดของสมศักดิ์ แถมสมศรียังดูจะมีความสุขและตอบรับการกระทำของสมศักดิ์อย่างดีอีกด้วยซ้ำไป สมศักดิ์ก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองมีโอกาสที่จะจีบสมศรีได้สำเร็จ เลยยิ่งทำดีกับสมศรีและเข้าไปใกล้ชิดสมศรีมากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ และสมศรีก็ดูจะมีความสุขกับสมศักดิ์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
สมชาย ซึ่งเป็นแฟนของสมศรี ไม่ได้รับรู้เรื่องพวกนี้เลย ยังคงยึดมั่นซื่อสัตย์ต่อสมศรีมาโดยตลอด และก็ยังคิดว่าสมศรียังคงซื่อสัตย์ต่อสมชายมาโดยตลอดเช่นเดียวกัน
ถามว่า เรื่องนี้ ใครทำถูก ใครทำผิด?
สำหรับฝ่ายสมชายและสมศรีนั้นจะไม่ขอกล่าวถึง แต่สำหรับฝ่ายสมศักดิ์นั้น เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา...
ถ้าคุณจะทำตัวเป็นนักกฏหมาย และถือเอาศีลห้าเป็นกฏหมาย ก็คงตอบได้โดยไม่ลังเลว่า ผิด เพราะสมศักดิ์ได้พรากสมศรีซึ่งเป็นคนรักของสมชายไปจากสมชาย
แต่ถ้าคุณจะยึดหลักสามัญสำนึก คุณ "อาจจะ" เห็นด้วยกับคำแก้ต่างของสมศักดิ์ดังต่อไปนี้....
"ใช่ครับ ผมทราบว่าสมศรีมีแฟนอยู่แล้ว และผมก็กำลังไปแย่งคุณสมศรีมาจากคุณสมชาย ถ้าคุณสมชายเป็นเพื่อนของผมผมก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น แต่นี่คุณสมชายเป็นใครผมก็ไม่รู้จักนี่ครับ ความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างสมชายกับสมศรีจะลึกซึ้งเพียงไรผมเองก็ไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าเค้าเรียกตัวเองว่าเป็น 'แฟน' กัน ... มาตรฐานของคำว่าแฟนมันมีหลายมาตรฐานครับ ตั้งแต่คนที่รักกันมากปานจะกลืนกิน ไปจนถึงคนที่คบๆ กันเพียงเพื่อหาความสุขจากความใกล้ชิดไปวันๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามาตรฐานที่คุณสมชายและสมศรีใช้นั้นมันเป็นมาตรฐานไหน เค้าไม่เคยบอกผมนี่ครับ
ดังนั้น ผมจะผิดนักหรือที่ผมจะสันนิษฐานจากท่าทีที่สมศรีมีให้กับผมว่าคุณสมชายก็คงจะไม่ได้ใกล้ชิดกับคุณสมศรีมากนัก และคุณสมศรีก็คงไม่ได้รับความรักจากคุณสมชายมากเพียงพอ ไม่อย่างนั้นเธอจะมารับความรัก เอ้อ... การแสดงออกซึ่งความรักจากผมไปหรือ?
ผมจะผิดมากนักหรือถ้าผมจะคิดไปว่าตัวผมเองอาจจะดีไม่แพ้คุณสมชาย และเนื่องจากความใกล้ชิดระหว่างผมกับสมศรี ผมอาจจะเป็นคนที่เหมาะกับสมศรีมากกว่าสมชายก็เป็นได้ ถ้าผมไม่ให้โอกาสตัวเองและให้โอกาสคุณสมศรีที่จะทดลองพิสูจน์สมมติฐานในข้อนี้ นั่นมิเท่ากับว่าผมทำผิดต่อคุณสมศรีที่ผมรักยิ่งหรอกหรือ?
ดังนั้นในตอนนี้ที่ผมพอจะทำให้คุณสมศรีมีความสุขได้ ผมก็คิดว่าผมควรจะกระทำต่อไป ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายกับคุณสมศรี ผมก็จะยังทำต่อไป แม้ใครจะว่าผมเลวผมก็ยอม
ผมรักคุณสมศรีนี่ครับ ... ผมต้องการให้คุณสมศรีมีความสุข ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมองว่าผมเป็นคนดีหรือไม่ดี ผมไม่แคร์ คุณสมศรีเท่านั้นที่ผมแคร์"
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์(สมมติ)หนึ่ง ซึ่งผู้ที่กำลังแย่งแฟนชาวบ้านอยู่นั้นมีเหตุผลแห่งความชอบธรรมอยู่ไม่น้อยเลย ใครจะรู้เล่าว่าจะมีเหตุการณ์จริงอีกกี่ร้อยกี่พันเหตุการณ์ ที่อาจจะคล้ายกับเหตุการณ์สมมตินี้?
Comments:
<< Home
ลองอ่านข้อความข้างล่างดูนะ :)
เราคัดมาจากคอลัมน์เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว..
พี่ดังตฤณคัดคำถามที่มีคนถามบ่อยๆมาตอบไว้..
พอดีคำถามข้างล่างนี้มันเกี่ยวกับเรื่องที่น้องม๊อคเขียนบนblogนี้พอดีเลย :)
------------------------------
ถาม – จีบแฟนคนอื่นที่เขายังไม่แต่งงานกันถือว่าบาปไหมครับ?
ตอบ -
ต้องดูระดับ ‘ความเป็นเจ้าของ’ ครับ
๑) หญิงชายเพิ่งเริ่มมีใจให้กัน ยังไม่ตกลงโดยวาจา ยังไม่ประกาศต่อผู้อื่นว่าเป็นแฟนกัน หากคุณคิดจีบคนประเภทนี้ ก็นับว่าเอาตัวเข้ามาอยู่ในวังวนของการ ‘แข่งขัน’ เท่านั้น แต่พูดกันตามตรง แม้ไม่เป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ก็อาจต้องลงนรกทางใจได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้แพ้ ผู้ไม่อาจกำชัย คุณร้องไห้แน่นอน แต่หากคุณชนะ ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างนรกทางใจให้ผู้อื่น สร้างน้ำตาให้ผู้อื่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยึดมั่นของแต่ละฝ่ายด้วยว่าเกาะเกี่ยวเหนียวแน่นแค่ไหน ยึดน้อยก็เจอนรกทางใจขุมเล็ก ยึดมากก็เจอนรกทางใจขุมใหญ่ ไม่ใครก็ใครล่ะ คนใดคนหนึ่งต้องเจอนรกทางใจแน่ๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการแข่งขันโดยชอบธรรม เพราะเขายังไม่ได้ประกาศเป็นคนรักกับใคร ต้องถือเป็นคนว่าง เป็นคนตัวเปล่าอยู่
๒) หญิงชายมีใจให้กันชัดเจนแล้ว ยอมรับและประกาศต่อผู้อื่นแล้วว่าเป็นคนรักกัน หากคุณคิดจีบคนประเภทนี้ ถือว่าเอาตัวเข้ามาอยู่ใน ‘ภัยเวร’ แน่นอนครับ เพราะชัดเจนว่าเป็นการ ‘แย่งชิง’ คนรักของคนอื่นมาเป็นคนรักของตน ความรู้สึกผิด ความรู้สึกไม่ถูกที่ถูกทาง ความรู้สึกผิดฝาผิดตัว ความรู้สึกไม่มีสิทธิ์อยู่ก่อน เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องวัดได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่ชอบธรรม ทำให้ใจเกิดความหม่นหมอง มีมลทิน หรือถ้าไม่ละอายเลยก็แปลว่าคุณมีจิตใจหยาบกระด้างหรือเหี้ยมเกรียมเอาเรื่อง
โดยสรุปแล้ว ตราบใดที่ฝั่งเขายังไม่มีการหมั้นหมายกัน โทษภัยจะมาในลักษณะของการผูกใจเจ็บคิดจองเวรกันมากกว่าจะส่งคุณไปถึงอบายของจริงหลังกายนี้แตกดับ
บางทีต้องระวังๆด้วยนะครับ เพราะอาจมีอะไรที่ก้ำๆกึ่งๆกันอยู่ เช่นเขามีคู่รักของเขาเป็นตัวเป็นตน แต่พอคุยกับคุณปุ๊บเขาเพิ่งประกาศว่าไม่มี พูดง่ายๆปลดตำแหน่งแฟนเก่ากลางอากาศเพราะมีคุณเป็นเหตุ หากคุณยินดีเออออ ไม่ไล่ให้ฝ่ายหญิงไปตกลงกับแฟนให้เรียบร้อยเสียก่อน ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงมลทินทางใจได้
สัมพันธภาพที่สะอาดที่สุดคือทำความรู้จักกันด้วยไมตรีจิตฉันเพื่อนมนุษย์ธรรมดา สัมพันธภาพฉันเพื่อนมนุษย์จะทำให้เรารู้เห็นเองว่าเขามีเจ้าของหรือยัง หากคุณตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าถ้ามีเจ้าของ ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างเด็ดขาด หรือจนกว่าเขาจะตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะกับแฟนว่าจะเลิกกัน เจตนาเช่นนี้จะทำให้เป็นผู้หลีกจากภัยเวรทางกาม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตครับ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนในโลกนั้น แปดเปื้อนด้วยกาเมสุมิจฉาจารมากกว่าคนที่ปลอดจากกาเมสุมิจฉาจาร และเพราะเหตุนั้นเอง ย่อมน้อยที่เราจะพบคู่ที่ประสบแต่สุข โดยมากจะอยู่กันด้วยความสงสัยว่าใช่คู่ของตัวแน่หรือไม่ อยู่กันด้วยความคิดกลับไปกลับมาว่าตนเองเลือกคู่ถูกหรือไม่ และอยู่กันด้วยความหวาดระแวงว่าคู่ของตนจะไปมีคนอื่นหรือไม่ คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมทนว้าเหว่ แล้วก็ตัดสินใจกันผิดๆร่ำไป บางทีก็เริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ยังไม่ผิดบาปชัดเจน เช่นจีบแฟนคนอื่นนี่แหละครับ
----------------------------
Post a Comment
เราคัดมาจากคอลัมน์เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว..
พี่ดังตฤณคัดคำถามที่มีคนถามบ่อยๆมาตอบไว้..
พอดีคำถามข้างล่างนี้มันเกี่ยวกับเรื่องที่น้องม๊อคเขียนบนblogนี้พอดีเลย :)
------------------------------
ถาม – จีบแฟนคนอื่นที่เขายังไม่แต่งงานกันถือว่าบาปไหมครับ?
ตอบ -
ต้องดูระดับ ‘ความเป็นเจ้าของ’ ครับ
๑) หญิงชายเพิ่งเริ่มมีใจให้กัน ยังไม่ตกลงโดยวาจา ยังไม่ประกาศต่อผู้อื่นว่าเป็นแฟนกัน หากคุณคิดจีบคนประเภทนี้ ก็นับว่าเอาตัวเข้ามาอยู่ในวังวนของการ ‘แข่งขัน’ เท่านั้น แต่พูดกันตามตรง แม้ไม่เป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ก็อาจต้องลงนรกทางใจได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้แพ้ ผู้ไม่อาจกำชัย คุณร้องไห้แน่นอน แต่หากคุณชนะ ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างนรกทางใจให้ผู้อื่น สร้างน้ำตาให้ผู้อื่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยึดมั่นของแต่ละฝ่ายด้วยว่าเกาะเกี่ยวเหนียวแน่นแค่ไหน ยึดน้อยก็เจอนรกทางใจขุมเล็ก ยึดมากก็เจอนรกทางใจขุมใหญ่ ไม่ใครก็ใครล่ะ คนใดคนหนึ่งต้องเจอนรกทางใจแน่ๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการแข่งขันโดยชอบธรรม เพราะเขายังไม่ได้ประกาศเป็นคนรักกับใคร ต้องถือเป็นคนว่าง เป็นคนตัวเปล่าอยู่
๒) หญิงชายมีใจให้กันชัดเจนแล้ว ยอมรับและประกาศต่อผู้อื่นแล้วว่าเป็นคนรักกัน หากคุณคิดจีบคนประเภทนี้ ถือว่าเอาตัวเข้ามาอยู่ใน ‘ภัยเวร’ แน่นอนครับ เพราะชัดเจนว่าเป็นการ ‘แย่งชิง’ คนรักของคนอื่นมาเป็นคนรักของตน ความรู้สึกผิด ความรู้สึกไม่ถูกที่ถูกทาง ความรู้สึกผิดฝาผิดตัว ความรู้สึกไม่มีสิทธิ์อยู่ก่อน เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องวัดได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่ชอบธรรม ทำให้ใจเกิดความหม่นหมอง มีมลทิน หรือถ้าไม่ละอายเลยก็แปลว่าคุณมีจิตใจหยาบกระด้างหรือเหี้ยมเกรียมเอาเรื่อง
โดยสรุปแล้ว ตราบใดที่ฝั่งเขายังไม่มีการหมั้นหมายกัน โทษภัยจะมาในลักษณะของการผูกใจเจ็บคิดจองเวรกันมากกว่าจะส่งคุณไปถึงอบายของจริงหลังกายนี้แตกดับ
บางทีต้องระวังๆด้วยนะครับ เพราะอาจมีอะไรที่ก้ำๆกึ่งๆกันอยู่ เช่นเขามีคู่รักของเขาเป็นตัวเป็นตน แต่พอคุยกับคุณปุ๊บเขาเพิ่งประกาศว่าไม่มี พูดง่ายๆปลดตำแหน่งแฟนเก่ากลางอากาศเพราะมีคุณเป็นเหตุ หากคุณยินดีเออออ ไม่ไล่ให้ฝ่ายหญิงไปตกลงกับแฟนให้เรียบร้อยเสียก่อน ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงมลทินทางใจได้
สัมพันธภาพที่สะอาดที่สุดคือทำความรู้จักกันด้วยไมตรีจิตฉันเพื่อนมนุษย์ธรรมดา สัมพันธภาพฉันเพื่อนมนุษย์จะทำให้เรารู้เห็นเองว่าเขามีเจ้าของหรือยัง หากคุณตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าถ้ามีเจ้าของ ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างเด็ดขาด หรือจนกว่าเขาจะตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะกับแฟนว่าจะเลิกกัน เจตนาเช่นนี้จะทำให้เป็นผู้หลีกจากภัยเวรทางกาม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตครับ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนในโลกนั้น แปดเปื้อนด้วยกาเมสุมิจฉาจารมากกว่าคนที่ปลอดจากกาเมสุมิจฉาจาร และเพราะเหตุนั้นเอง ย่อมน้อยที่เราจะพบคู่ที่ประสบแต่สุข โดยมากจะอยู่กันด้วยความสงสัยว่าใช่คู่ของตัวแน่หรือไม่ อยู่กันด้วยความคิดกลับไปกลับมาว่าตนเองเลือกคู่ถูกหรือไม่ และอยู่กันด้วยความหวาดระแวงว่าคู่ของตนจะไปมีคนอื่นหรือไม่ คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมทนว้าเหว่ แล้วก็ตัดสินใจกันผิดๆร่ำไป บางทีก็เริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ยังไม่ผิดบาปชัดเจน เช่นจีบแฟนคนอื่นนี่แหละครับ
----------------------------
<< Home