Thursday, October 20, 2005
:: ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ::
เป็นครั้งที่สองแล้วพี่ผมพบกับชายวัยกลางคน (ค่อนไปทางปลายๆ) ท่านหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับเขาสักที ทั้งสองครั้งที่พบ สถานที่คือหน้าห้อง locker room ใน University Center (มีชื่อเล่นว่า UC) ของ CMU (ซึ่งในที่นี้ เป็นชื่อเล่นของ Carnegie Mellon University)

Locker room เป็นสถานที่สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของสำหรับผู้ที่มาออกกำลังกายในบริเวณ UC สถานที่นี้นับว่าแปลกหูแปลกตาสำหรับผม ซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย .. เอ่อ.. หรืออาจกล่าวได้ว่า "แทบไม่เคย" ออกกำลังกายด้วยความสมัครใจเลยสักครั้งก็คงได้ แต่ช่วงนี้ผมเริ่มมีความรู้สึกกลัวตาย อยากมีสุขภาพดีๆ กับเขาบ้าง ก็เลยมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งแทบทุกวัน (โดยสมัครใจ)

อย่างที่กล่าว ห้องนี้เป็นห้องที่ยังแปลกหูแปลกตาสำหรับผู้ใช้บริการหน้าใหม่อย่างผมอยู่ แต่มันกลับดูไม่แปลกหูแปลกตาสำหรับชายวัยกลางคนที่ผมกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับดูคล่องแคล่วและเชี่ยวชาญเส้นทางเป็นอย่างดี แม้จะมีบางครั้งบ้างที่เขาจะเดินชนผู้คนบางคนที่ไม่ทันระวัง

นั่นเป็นเพราะเขาตาบอด ใช่ครับ! เขาตาบอด

และใช่อีกนั่นแหละครับ! เขาเดินเข้ามาใน locker room เพื่อเปลี่ยนชุดไปเล่นกีฬา .. และกีฬาใดที่เขาเล่นท่านทราบไหมครับ? ทีแรกผมกับเพื่อนเดาว่าเขาคงจะมาวิ่ง แต่ที่ไหนได้ เขามาว่ายน้ำ!

เห็นชายตาบอดเดินมาว่ายน้ำด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีใครคอยดูแลช่วยเหลือแล้วมันพาให้ต่อมความซาบซึ้งในลูกกะตาของผมมันแทบจะทะลักออกมา ผมซาบซึ้งอะไร?

ข้อแรก ซาบซึ้งในความเก่ง ความมุ่งมั่น และความใส่ใจในสุขภาพของชายผู้นี้ (ซึ่งต่อไป ผมจะขอตั้งชื่อให้แกว่า "คุณน้านิรนาม" จะได้เอ่ยถึงได้สะดวกๆ) คิดดูสิครับ ขนาดเขาตาบอดเขายังอุตสาห์เดินมาถึง UC และเคาะไม้เท้าหา locker room จนเจอ ทั้งนี้ก็เพื่อมาว่ายน้ำออกกำลังกาย ผมมีมือมีตีนมีตามีหู มี ฯลฯ ครบถ้วนทุกอย่าง แต่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมากลับแทบไม่เคยคิดจะดูแลสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายเลย (กว่าจะสำนึกได้ก็เกือบสายไป)

ข้อที่สอง ผมซาบซึ้งในสังคมอเมริกัน ที่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะกฎหมายหรือเพราะจิตสำนึกของผู้คน หรือว่าทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ชีวิตของคนพิการที่นี่ ดูจะได้อยู่อย่างสุขสบายเหลือเกิน .. อ้อ! ไม่ใช่แค่สุขสบาย แต่ยังมี "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ครบถ้วนเท่าเทียมกับคนทั่วไป

เห็นแล้วให้รู้สึกนึกอิจฉาคนพิการที่อเมริกา แทนคนพิการในเมืองไทย

อาคาร สถานที่ ตลอดจนระบบการจราจรที่อเมริกานั้น เอื้อประโยชน์ต่อการอยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีของคนพิการทุกประเภทเป็นอย่างยิ่ง เริ่มตั้งแต่เดินออกจากบ้าน คนพิการทางขาสามารถนั่งรถเข็นอิเล็กทรอนิกส์แล้วแล่นไปตามทางเท้าที่ค่อนข้างเรียบและไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีท่อที่เปิดฝาไว้ ได้อย่างสบายใจ คนตาบอดก็สามารถเดินถือไม้เท้าสีขาวคลำทางที่คุ้นเคยไปได้เรื่อยๆ หากต้องข้ามถนน ขอเพียงแค่หยุดตรงทางข้ามแล้วกดปุ่ม รอเสียงสัญญาณ "กุ๊กกู่ กุ๊กกู่" ไฟทุกด้านของถนนก็จะเป็นสีแดง แล้วคนตาบอดก็จะข้ามได้อย่างปลอดภัย หรือหากแม้นไม่มีปุ่มกดอย่างนั้น ก็มีกฏจราจรอยู่แล้วว่าหากคนขับรถเห็นคนตาบอดต้องการเดินข้ามถนน รถจะต้องหยุดให้คนข้ามโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการถึงคนขาพิการ หรือคนตาบอดในประเทศไทยเดินไปตามท้องถนนสิครับ ... มันไม่ง่ายขนาดนี้เลย

อ้อ... สำหรับคนพิการที่มีรถขับ และมีคนขับรถให้ ก็จะได้รับการอำนวยความสะดวกในด้านที่จอดรถเป็นพิเศษ ที่จอดรถทุกแห่งจะต้องมีล็อตประมาณ 1-2 ล็อต ที่กันไว้สำหรับรถคนพิการ หากใครนำรถที่ไม่ได้จดทะเบียนคนพิการไปจอดละก็ มีหวังโดนปรับเป็นร้อย($)เลย

ครั้นเมื่อเข้ามาในอาคาร ทุกอาคารจะต้องมีทางให้รถเข็นสามารถขึ้นได้ จะต้องมีห้องน้ำคนพิการซึ่งออกแบบให้กว้างกว่าห้องน้ำทั่วไปและมีคันเหล็กให้เกาะยึดเพื่อไม่ให้ล้ม อย่างห้องอาบน้ำที่อยู่ติดกับ locker room ของที่นี่นั้น ก็จะมีห้องอาบน้ำสองห้องที่ทำไว้เป็นพิเศษสำหรับคนพิการ เป็นฝักบัวชนิดปรับความสูงต่ำของฝักได้ มีที่ให้นั่งอาบน้ำอีกด้วย

จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่จะเห็นคุณน้านิรนามเดินเคาะไม้เท้ามาว่ายน้ำได้โดยลำพัง แต่สิ่งที่น่าสงสัยและน่าขบคิดก็คือว่า คนพิการในเมืองไทยจะมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีสวัสดิภาพเช่นคนพิการในอเมริกาได้หรือไม่?

เรื่องสวัสดิภาพของคนพิการนั้น ถ้าวิเคราะห์ดูแล้วดูเหมือนว่าจะมีองค์ประกอบสองประการ
1. ความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต
2. ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

ข้อแรกนั้น หมายถึงว่า คนพิการต้องมีข้าวกิน มีที่อยู่ มีของใช้ที่จำเป็น และจะต้องสามารถไปไหนมาไหน และใช้บริการสาธารณสมบัติได้เท่าเทียมกับคนทั่วไป

ข้อที่สอง หมายความว่า คนพิการจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความภาคภูมิใจในศักยภาพของตนเอง สามารถประกอบอาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ จะต้องไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นตัวถ่วงของสังคม

คนพิการที่อเมริกานี้มีทั้งสองอย่าง การที่สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในที่สาธารณะถูกออกแบบมาให้คนพิการเข้าถึงได้ (Accessible) ทำให้คนพิการสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างสะดวกสบายตามสมควร นอกจากนี้ ยังทำให้คนพิการรู้สึกมีเกียรติ เพราะเขาช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องอาศัยคนจูง/คนอุ้ม ในทุกๆ ที่ที่ต้องการจะไป และที่สำคัญที่สุด ทำให้คนพิการมีโอกาสทำงานในองค์กรต่างๆ ได้เท่าเทียมกับคนทั่วไป เพราะสถานที่ทำงานนั้นเอื้อประโยชน์ให้เขาทำงานได้

เห็นภาพคุณน้านิรนามเดินมาว่ายน้ำคนเดียว แล้วมันทำให้อดไม่ได้ที่จะหลับตานึกถึงภาพคนตาบอดในเมืองไทย เขาจะมีสระน้ำที่ต้อนรับเขาเช่นนี้หรือไม่? สังคมไทยให้โอกาสอะไรกับเขาบ้างที่จะทำให้เขารู้สึกมีเกียรติมีศักดิ์ศรี? ผมเห็นมีเพียงแต่โควต้าล็อตเตอรี่ที่กองสลากมอบให้พวกเขา (= ให้พวกเขาได้มีโอกาสมอมเมาประชาชนคนอื่นด้วยรูปแบบหนึ่งของการพนันที่ผิดศีลธรรมแต่ชอบด้วยกฏหมาย) .. หรือนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เรามีปัญญาจะมอบให้???

Comments:
นั่นดิ เราก็ว่าคนพิการที่นี่ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองเลยจริง ๆ แหละ แล้วคนที่นี่เค้าก็ปฏิบัติต่อคนพิการแบบให้เกียรติจริง ๆ
 
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีได้ถ้ารวย และดันโชคเกิดมาในประเทศที่พัฒนาแล้ว Bottom line, honor cost money. Sound sick and materialistic but true
 
Good thinking krab; sounds dreadful, but quite an interesting fact.
Well, after all, the purpose of developping a country is to guarantee
human's rights for all, isn't it?
 
Post a Comment



<< Home

This page is powered by Blogger. Isn't yours?