Sunday, July 24, 2005
:: การหลอกล่อ vs. การบังคับ ::
ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์สมมติที่ผมแปล+ดัดแปลงมาจากบทที่ 17 ของนิทานเรื่อง The Restaurant at the End of the Universe แต่งโดยคุณ Douglas Adams นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองในซีรี่ส์ "The Ultimate Hitchhiker's Guide" ซึ่งคุณ Pure ให้ผมยืมหนังสือเล่มนี้มาอ่านเล่น ขอขอบคุณ Pure มา ณ ที่นี้

พี่น้องคู่หนึ่ง นามว่าสมชายและสมปอง ไปรับประทานอาหารด้วยกัน ณ ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งในดินแดนแห่งเทพนิยาย ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังรอบริกรมารับออร์เดอร์อยู่นั้น ก็มีวัวตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินเข้ามา วัวตัวนั้นยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก และมองมาที่คนทั้งสอง

และแน่นอน เนื่องจากที่นี่เป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย วัวตัวนี้จึงพูดได้

วัวเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพว่า "สวัสดีครับท่านทั้งสอง กระผมคือรายการอาหารแนะนำแห่งค่ำคืนนี้ ท่านจะสนใจรับประทานส่วนใดของร่างกายกระผมไหมครับ?"

สมชายทำท่าตกใจ ในขณะที่สมปองน้ำลายไหลเนื่องจากความหิว และอีกอย่าง วัวตัวนี้ก็น่ากินมาก

"เนื้อบริเวณหัวไหล่ดีไหมครับ?" วัวเสนอ "นำไปนึ่งในซอสไวน์ขาวก็น่าจะดีนะครับ?"

"เอ่อ... หัวไหล่ของแกน่ะรึ?!?" สมชายกระซิบขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเสียขวัญเล็กน้อย

"ใช่ครับท่าน หัวไหล่ของผมสิครับ ผมไม่มีสิทธิเสนอหัวไหล่ของคนอื่น เอ๊ย ตัวอื่นนี่ครับ" วัวตอบด้วยน้ำเสียงแห่งความภาคภูมิใจ

สมปองเขยิบเก้าอี้เข้าไปใกล้ๆ วัว นำมือไปลูบหัวไหล่ของมันที่มีเนื้อหนานุ่มด้วยสีหน้าอันหิวกระหาย สมชายยังคงทำสีหน้าสับสน ราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง

"หรือจะเนื้อสะโพกก็อร่อยดีนะครับ" วัวกล่าว "ผมออกกำลังกายบริเวณนั้นสม่ำเสมอ และผมยังทานพืชพันธุ์ธัญญาหารมากมาย ดังนั้นจึงมีเนื้อชั้นดีเลยหละครับ" วัวมองคนทั้งสองด้วยสายตาอ้อนวอน

"เฮ๊ย ... นี่เจ้าวัวตัวนี้มันต้องการให้เรากินมันจริงๆ เหรอวะ?" สมชายเอ่ยขึ้น "โคตรสยดสยองอ่ะ! เกิดมาตูยังไม่เคยได้ยินอะไรที่มันน่าสะอิดสะเอียนถึงเพียงนี้"

"คิดอะไรมากน่า... พี่สมชาย ผมไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไร" สมปองตอบ พร้อมกับเปลี่ยนตำแหน่งความสนใจจากหัวไหล่มาที่สะโพกของวัว

"พี่ก็แค่ไม่ต้องการจะกินสัตว์ที่มันมายืนให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วเชื้อเชิญให้เราจับมันกิน" สมชายกล่าว "นี่มันโหดเหี้ยมทารุณเกินไป"

สมปองสวนขึ้นทันควันว่า "มันก็ยังดีกว่าที่เราจะกินสัตว์ตัวที่มันไม่อยากถูกกินละนะพี่!!!"

อ่านเรื่องนี้แล้วท่านรู้สึกอย่างไร? เวลาที่ท่านไปทานอาหารตามร้านอาหาร ท่านทานเนื้อวัวหรือไม่? ท่านทราบใช่ไหมว่าวัวตัวที่สละชีพเพื่อท่านนั้นมันคงไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่ท่านก็ยังทานมัน [สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อวัวอยู่แล้ว กรุณาเปลี่ยนคำว่า 'วัว' ในย่อหน้านี้เป็นคำว่า 'หมู' หรือ 'ไก่'] นี่เท่ากับท่าน "บังคับขู่เข็ญ" (coercion) วัวตัวหนึ่งให้มันตายเพื่อที่ท่านจะได้กินมัน

คราวนี้ลองพิจารณาสถานการณ์ตรงกันข้าม หากท่านไม่จำเป็นต้องบังคับวัวตัวไหนเลย แต่มีวัวตัวหนึ่งเดินขึ้นมาหาท่านเองที่โต๊ะอาหารและเสนอตัวให้ท่านกินดังในเรื่องข้างบน ท่านจะกินมันลงไหม? ท่านจะคิดอย่างสมชายหรือสมปอง? หากท่านตัดสินใจที่จะกิน ท่านคงให้เหตุผลว่าท่านกำลังทำสิ่งที่วัวตัวนั้นเต็มใจทำ แต่ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าการที่วัวจะยื่นข้อเสนอเช่นนั้นมันคงกำลังคิดผิดอย่างรุนแรง? จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ (อาจจะมีคนมอมยามัน หรือมันอาจจะเป็นบ้า หรือมันอาจจะโง่จัด หรือว่ามันอาจจะหลงเชื่อคำหลอกลวงของพ่อครัวว่าถ้ามันยอมตายเพื่อให้เรากินวิญญาณของมันจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าวัว ฯลฯ) แต่การตัดสินใจของมันครั้งนี้ต้องจัดได้ว่าถูกตั้งอยู่บนพื้นฐานของการหลอกลวง (deception)

ปราชญ์ท่านหนึ่งในสาขาปรัชญาแห่งจริยธรรมนามว่า Maxim เคยกล่าวไว้ว่าการกระทำกับผู้อื่นโดยการบังคับขู่เข็ญหรือการหลอกลวงนั้น ล้วนเป็นสิ่งเลวร้ายทั้งสิ้น แต่ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านเคยสอนไว้หรือไม่ว่า "การบังคับ" หรือ "การหลอกลวง" นี้ อันไหนจะเลวร้ายมากกว่ากัน?

  • ระหว่างคนที่กินวัวที่โดนจับไปฆ่า กับคนที่กินวัวที่เสนอตัวให้กิน ใครเลวร้ายกว่ากัน?
  • ระหว่างโจรที่ปล้นทรัพย์คนอื่นด้วยกำลัง กับนักต้มตุ๋นที่หลอกล่อให้เหยื่อทำสัญญาเสียเปรียบเพื่อหวังเอาเงินอย่างไม่เป็นธรรม ใครเลวร้ายกว่ากัน?
  • ระหว่างไอ้หื่นกามที่ไปข่มขืนผู้หญิง กับชายเจ้าชู้ที่ไปหลอกผู้หญิงว่ารักเพื่อจะได้หลับนอนด้วย แล้วก็ทิ้งผู้หญิงไป ใครเลวร้ายกว่ากัน?
ลองแสดงความเห็นกันนะครับ :)

Comments:
update blog mung' ji....
 
Post a Comment



<< Home

This page is powered by Blogger. Isn't yours?