Thursday, April 05, 2007 |
ตอนเด็กๆ ผมมีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนใคร: ผมสามารถปิดใบหูตัวเอง และปล่อยให้มันปิดอยู่อย่างนั้นได้โดยไม่ต้องใช้มือจับไว้
หลักการก็คือ ผมจะเอามือปิดหูตัวเองไว้แน่นๆ สักพักหนึ่ง ราวๆ 5-10 นาที แล้วจึงปล่อย หูก็จะปิดอยู่อย่างนั้นด้วยแรงดันอากาศจากภายนอก หลังจากนั้นผมสามารถเปิดใบหูได้ด้วยการใช้มือแกะออก หรือเพียงขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า
ความสามารถพิเศษนี้ฟังดูเหมือนไร้สาระ แต่ผมสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้จริงๆ
ประโยชน์อย่่างหนึ่ง (ที่ไร้สาระ) ก็คือ ไว้อวดชาวบ้าน ให้เขาเห็นว่าเราแปลก (แต่แท้จริงแล้วไม่จำเป็น เพราะ ... -- ไม่พูดดีกว่า)
ประโยชน์อีกอย่าง (ที่มีสาระ) ก็คือ ผมสามารถหยุดรับฟังเสียงที่ไม่ต้องการได้ ในเวลาที่ผมไม่ควรได้ยินมัน
ผมใช้ความสามารถนี้เวลาเข้าห้องสอบ
ความรู้สึกในห้องสอบเวลาที่ผมปิดใบหูนั้น สามารถอธิบายได้ดังนี้
- ผมยังคงได้ยินเสียงอยู่บ้าง
- แต่เสียงที่เข้ามานั้นถูกผสมปนเปกันภายในใบหูก่อนที่จะผ่านเข้ามายังรูหู (เหมือนกับภาพที่ผ่านเลนส์ที่ทำให้เบลอร์ / เหมือนกับ signal ที่ผ่าน low-pass filter)
- เสียงที่ผมได้ยินนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจับใจความไม่ได้
- ความรู้สึกเหมือนนั่งฟังเสียงคลื่นทะเล, เสียงน้ำตก, เสียงนกร้อง, เสียงลมพัดผ่านใบไม้ในป่า
ประโยชน์ที่ผมได้คือ
- ผมมีสมาธิในการทำข้อสอบมากขึ้น
- หมดปัญหาเรื่องคนกระซิบถามคำตอบ
ปัญหาของความสามารถพิเศษนี้คือ ผมไม่สามารถใช้มันได้ทุกครั้ง ในวันที่ใบหูอ่อนก็ทำได้ ถ้าวันไหนใบหูแข็งก็ทำไม่ได้
ปัญหาอีกข้อก็คือต้องใช้เวลา set up ราวๆ 5 - 10 นาที, ระหว่างนั้นผมก็จะไม่สามารถใช้มือได้ข้างหนึ่ง
...
ครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้ว่าใช้ความสามารถนี้ก็คือตอนสอบเข้า รร. สวนกุหลาบวิทยาลัย
ผมนั่งค่อนไปทางด้านหลังของห้อง ที่นั่งซ้ายสุด ระหว่างที่อาจารย์กำลังแจกข้อสอบผมก็เริ่มปิดหูขวา (เหลือหูซ้ายไว้ฟังคำสั่ง) พอถึงเวลาเริ่มทำข้อสอบหูขวาผมก็ปิดพอดี แล้วจึงเริ่มปิดหูซ้าย และใช้มือขวาในการทำข้อสอบ
ผมจำไม่ได้แล้วว่าใช้เวลาสอบกี่ชั่วโมง แต่จำได้ว่าผมทำข้อสอบด้วยความมั่นใจและมีสมาธิสูงมาก ผมทำเสร็จก่อนเวลาราวๆ 20 นาที
ระหว่างที่เดินไปส่งข้อสอบใบหูผมยังปิดอยู่ ก่อนจะยื่นข้อสอบให้อาจารย์ผมก็ขยับใบหน้าให้ใบหูทั้งสองข้างเปิดออกมา อาจารย์มองหน้าผมอย่างแปลกใจและตกใจเล็กน้อย ผมยื่นข้อสอบให้แล้วยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมกับอธิบายให้อาจารย์ฟังสั้นๆ เบาๆ ว่า "อ้อ ผมปิดหูไว้จะได้มีสมาธิน่ะครับ"
"ฉันนึกว่าเธอพิการเสียอีก ตะกี้นั่งอยู่มองเห็นยังรู้สึกเห็นใจเลย" อาจารย์ท่านนั้นตอบ น้ำเสียงห่วงใย
ผมยิ้มแล้วเดินออกจากห้องสอบ ขึ้นรถเมล์ (สาย 6 หรือ 42) กลับบ้าน
...
เมื่อเติบโตขึ้น ผมสูญเสียความสามารถพิเศษนี้ไป ไม่สามารถปิดใบหูได้อย่างเดิมอีกแล้ว
เวลาเข้าห้องสอบผมต้อง "ปิดหู" ด้วยวิธีอื่น นั่นคือทำเป็นไม่ได้ยิน หรือไม่สนใจเสียงที่ได้ยิน .. เรียกได้ว่า "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่"
แรกๆ นั้นยาก แต่ต่อๆ ไปมันก็ง่ายขึ้น
ความสามารถในการ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเลยทีเดียว ทั้งในห้องสอบและนอกห้องสอบ
การรับฟังเสียงจากคนรอบข้างนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากจะให้รับฟังอยู่ทั้งวันทั้งคืน บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม เพราะคนเราต้องการสมาธิ หรือต้องการฟังเสียงจากตัวเองบ้าง บางครั้งจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้ผู้คนเขาพูดไป ส่วนเราก็ตั้งใจทำสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องให้ดีที่สุด
ไม่ใช่ว่าไม่สนใจคนอื่น แต่เราเลือกเวลาที่จะฟัง และเวลาที่จะหยุดรับฟังต่างหาก
และแน่นอน เวลาที่ฟัง ก็จงฟังอย่างตั้งใจ
หลักการก็คือ ผมจะเอามือปิดหูตัวเองไว้แน่นๆ สักพักหนึ่ง ราวๆ 5-10 นาที แล้วจึงปล่อย หูก็จะปิดอยู่อย่างนั้นด้วยแรงดันอากาศจากภายนอก หลังจากนั้นผมสามารถเปิดใบหูได้ด้วยการใช้มือแกะออก หรือเพียงขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า
ความสามารถพิเศษนี้ฟังดูเหมือนไร้สาระ แต่ผมสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้จริงๆ
ประโยชน์อย่่างหนึ่ง (ที่ไร้สาระ) ก็คือ ไว้อวดชาวบ้าน ให้เขาเห็นว่าเราแปลก (แต่แท้จริงแล้วไม่จำเป็น เพราะ ... -- ไม่พูดดีกว่า)
ประโยชน์อีกอย่าง (ที่มีสาระ) ก็คือ ผมสามารถหยุดรับฟังเสียงที่ไม่ต้องการได้ ในเวลาที่ผมไม่ควรได้ยินมัน
ผมใช้ความสามารถนี้เวลาเข้าห้องสอบ
ความรู้สึกในห้องสอบเวลาที่ผมปิดใบหูนั้น สามารถอธิบายได้ดังนี้
- ผมยังคงได้ยินเสียงอยู่บ้าง
- แต่เสียงที่เข้ามานั้นถูกผสมปนเปกันภายในใบหูก่อนที่จะผ่านเข้ามายังรูหู (เหมือนกับภาพที่ผ่านเลนส์ที่ทำให้เบลอร์ / เหมือนกับ signal ที่ผ่าน low-pass filter)
- เสียงที่ผมได้ยินนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจับใจความไม่ได้
- ความรู้สึกเหมือนนั่งฟังเสียงคลื่นทะเล, เสียงน้ำตก, เสียงนกร้อง, เสียงลมพัดผ่านใบไม้ในป่า
ประโยชน์ที่ผมได้คือ
- ผมมีสมาธิในการทำข้อสอบมากขึ้น
- หมดปัญหาเรื่องคนกระซิบถามคำตอบ
ปัญหาของความสามารถพิเศษนี้คือ ผมไม่สามารถใช้มันได้ทุกครั้ง ในวันที่ใบหูอ่อนก็ทำได้ ถ้าวันไหนใบหูแข็งก็ทำไม่ได้
ปัญหาอีกข้อก็คือต้องใช้เวลา set up ราวๆ 5 - 10 นาที, ระหว่างนั้นผมก็จะไม่สามารถใช้มือได้ข้างหนึ่ง
...
ครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้ว่าใช้ความสามารถนี้ก็คือตอนสอบเข้า รร. สวนกุหลาบวิทยาลัย
ผมนั่งค่อนไปทางด้านหลังของห้อง ที่นั่งซ้ายสุด ระหว่างที่อาจารย์กำลังแจกข้อสอบผมก็เริ่มปิดหูขวา (เหลือหูซ้ายไว้ฟังคำสั่ง) พอถึงเวลาเริ่มทำข้อสอบหูขวาผมก็ปิดพอดี แล้วจึงเริ่มปิดหูซ้าย และใช้มือขวาในการทำข้อสอบ
ผมจำไม่ได้แล้วว่าใช้เวลาสอบกี่ชั่วโมง แต่จำได้ว่าผมทำข้อสอบด้วยความมั่นใจและมีสมาธิสูงมาก ผมทำเสร็จก่อนเวลาราวๆ 20 นาที
ระหว่างที่เดินไปส่งข้อสอบใบหูผมยังปิดอยู่ ก่อนจะยื่นข้อสอบให้อาจารย์ผมก็ขยับใบหน้าให้ใบหูทั้งสองข้างเปิดออกมา อาจารย์มองหน้าผมอย่างแปลกใจและตกใจเล็กน้อย ผมยื่นข้อสอบให้แล้วยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมกับอธิบายให้อาจารย์ฟังสั้นๆ เบาๆ ว่า "อ้อ ผมปิดหูไว้จะได้มีสมาธิน่ะครับ"
"ฉันนึกว่าเธอพิการเสียอีก ตะกี้นั่งอยู่มองเห็นยังรู้สึกเห็นใจเลย" อาจารย์ท่านนั้นตอบ น้ำเสียงห่วงใย
ผมยิ้มแล้วเดินออกจากห้องสอบ ขึ้นรถเมล์ (สาย 6 หรือ 42) กลับบ้าน
...
เมื่อเติบโตขึ้น ผมสูญเสียความสามารถพิเศษนี้ไป ไม่สามารถปิดใบหูได้อย่างเดิมอีกแล้ว
เวลาเข้าห้องสอบผมต้อง "ปิดหู" ด้วยวิธีอื่น นั่นคือทำเป็นไม่ได้ยิน หรือไม่สนใจเสียงที่ได้ยิน .. เรียกได้ว่า "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่"
แรกๆ นั้นยาก แต่ต่อๆ ไปมันก็ง่ายขึ้น
ความสามารถในการ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเลยทีเดียว ทั้งในห้องสอบและนอกห้องสอบ
การรับฟังเสียงจากคนรอบข้างนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากจะให้รับฟังอยู่ทั้งวันทั้งคืน บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม เพราะคนเราต้องการสมาธิ หรือต้องการฟังเสียงจากตัวเองบ้าง บางครั้งจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้ผู้คนเขาพูดไป ส่วนเราก็ตั้งใจทำสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องให้ดีที่สุด
ไม่ใช่ว่าไม่สนใจคนอื่น แต่เราเลือกเวลาที่จะฟัง และเวลาที่จะหยุดรับฟังต่างหาก
และแน่นอน เวลาที่ฟัง ก็จงฟังอย่างตั้งใจ